การเล่าเรื่อง Storytelling ใน กลยุทธ์การตลาด B2B [ เทคนิค และ หลักการ ]
การเล่าเรื่อง Storytelling ใน กลยุทธ์การตลาด B2B [ เทคนิค และ หลักการ ]
การเล่าเรื่อง
การเล่าเรื่อง หรือ Storytelling คุณอาจทราบอยู่แล้วว่า การเล่าเรื่อง เป็น กลยุทธ์ทางการตลาดที่โดยทั่วไปมักใช้กันในธุรกิจแบบ B2C หรือธุรกิจที่ขายสินค้า,ผลิตภัณฑ์หรือบริการตรงสู่ลูกค้าหรือผู้บริโภค หากคุณยังนึกไม่ออก สิ่งที่คุณต้องทำ คือ เปิดโฆษณาจากแบรนด์ต่างๆ เช่น Apple หรือ Nike พวกเขาไม่ได้ขายผลิตภัณฑ์ให้กับเฉพาะกลุ่มลูกค้า แต่พวกเขาขายเรื่องราว ซึ่งส่วนมากเราก็จะอินและรับเรื่องเล่านั้นเข้ามาโดยปริยาย นั่นเป็นเหตุผลที่คนจำนวนมากยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แทนที่จะซื้อผลิตภัณฑ์เดียวกันจากบริษัทที่มีเรื่องเล่าที่คลุมเคลือ
ใน การตลาดแบบ B2B หรือธุรกิจที่ขายสินค้า,ผลิตภัณฑ์หรือบริการต่อบริษัทหรือธุรกิจด้วยกัน นั้น บริษัทต่างๆ ไม่ค่อยเต็มใจนักที่จะใช้การเล่าเรื่องในการทำการตลาด เพราะส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นไปที่การสร้างความรู้สึกเร่งด่วน และ ความกลัวเล็กๆน้อยๆที่เป็นกลยุทธ์เน้นการขายให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น แม้ว่าสิ่งนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาให้ของลูกค้าและทำให้พวกเขาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณได้ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างแน่นอน
บทความนี้ เราจะมุ่งเน้นไปที่สาเหตุที่ “การเล่าเรื่อง” มีประโยชน์ต่อกลยุทธ์การตลาดแบบ B2B ของคุณ และ เทคนิคกับหลักการ ที่ผสมผสานมันเข้าด้วยกัน
เหตุใด การเล่าเรื่อง จึงสำคัญ
ส่วนลดเยอะๆ ข้อเสนอที่สมเหตุสมผล และ การรู้จุดอ่อนของลูกค้า คุณสามารถทำให้ผู้คนที่ยังไม่ซื้อ กลายเป็นลูกค้าของบริษัทของคุณได้อย่างน้อยครั้งหนึ่ง แต่ พลังของเรื่องราวดีๆ สามารถเปลี่ยนพวกเขาให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ คนที่ถือหรือใช้ผลิตภัณฑ์ของคุณอย่างภาคภูมิ รวมถึงบอกต่อ
ทำไมคุณถึงต้องการให้ลูกค้าเป็นสาวกจนถึงขนาดบอกต่อๆกัน? ก็เพราะการทำธุรกิจมันจะง่ายขึ้นเยอะ เพราะ ปากต่อปาก เป็นหนึ่งในรูปแบบการตลาดที่ทรงพลังที่สุด แนวคิดพื้นฐานของการตลาดแบบเล่าเรื่อง คือ การกระตุ้นผู้คนและสร้างความไว้วางใจ แทนที่จะคิดว่า การหาลูกค้าต้อง ขาย เท่านั้น เราจำเป็นต้องออกจากแนวทางปฏิบัติทางการตลาดแบบเดิมๆ และ มุ่งเน้นไปที่การสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน
หนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่ บริษัทหรือธุรกิจแบบ B2B ต้องเผชิญ คือผลิตภัณฑ์หรือบริการมักจะเข้าใจยาก การเล่าเรื่องไม่เพียงแต่ทำให้แบรนด์ของคุณมีความเป็นมนุษย์มากขึ้นเท่านั้น แต่มันยังทำให้หัวข้อที่ซับซ้อนมากๆ ง่ายขึ้นอีกด้วย
6 ประโยชน์ของการเล่าเรื่อง ใน กลยุทธ์การตลาด B2B
เราสามารถเข้าใจประโยชน์ของการเล่าเรื่องได้ มากกว่า 6 ข้อนี้แน่นอน ซึ่งอย่างไรก็ตาม ผมหวังว่าบทความนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี และผมจะมุ่งเน้นไปที่ความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ หัวข้อในบทความนี้ จะมีผลกระทบต่อผู้อ่านมากที่สุด
1. แสดงบุคลิกภาพของแบรนด์ของคุณ
มันเกี่ยวกับการทำให้แบรนด์มีความเป็นมนุษย์ โดยการบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์นั้น คุณกำลังให้ “ชีวิต” มัน โดยอาศัยการบูรณาการความเชื่อและค่านิยมอย่างเป็นธรรมชาติ แบรนด์ Dove เป็นตัวอย่าง พวกเขามุ่งเน้นที่ความครอบคลุมและทุกแคมเปญการตลาดมุ่งเน้นไปที่การบอกเล่าเรื่องราวของโลกที่มีความแตกต่าง เช่น สีผิวไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป แม้ว่านี่จะเป็นตัวอย่างที่ดี แต่ก็ยากที่จะจินตนาการว่า คุณจะนำเทคนิคและหลักการไปใช้กับธุรกิจ B2B ของคุณได้อย่างไร
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
มนุษย์สัมพันธ์ คุณสามารถนึกถึงวิธีที่จะเน้นเรื่องราวของสมาชิกในทีมของคุณเพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับลูกค้าเป้าหมายของคุณได้ สมมติว่าคุณเป็นบริษัทที่ให้บริการด้านการตลาด ด้วยการแบ่งปันการเดินทางของคุณกว่ามาถึงสู่จุดที่คุณอยู่ และ บอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงของเส้นทางอาชีพของพนักงาน คุณจะโดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆ ทั้งหมดในตลาด และ ในอุตสาหกรรมของคุณ
2. สร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์
มีเหตุผลสำคัญที่เราทุกคนรักใน เรื่องราว เรื่องราวทำให้เรารู้สึกบางอย่าง ดังนั้นเราจึงไป โรงละคร ดูหนัง อ่านหนังสือ และ เล่านิทานให้เด็กฟัง หากคุณดูโฆษณาที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา คุณจะพบว่าโฆษณาเกือบทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่เรื่องราว ตัวอย่างเช่น โฆษณา Nike ของ Colin Kaepernick เขาถูกไล่ออกจาก NFL เนื่องจากแสดงจุดยืนต่อต้านความโหดร้ายของตำรวจต่อคนผิวสี Nike นำเรื่องราวของเขามาสร้างโฆษณาที่กระตุ้นให้เราทุกคนเอาชนะความทุกข์ยากและฝันถึง “บางสิ่งที่บ้าคลั่ง” ผลกระทบเกิดขึ้นทันทีเมื่อยักษ์ใหญ่ด้านสินค้ากีฬารายนี้ ปรากฏตัวในทุกข่าวทั่วโลกในทันที หลายปีต่อมา ผู้คนยังคงดู พูดคุย และรับประโยชน์จากโฆษณาเหล่านั้น เหตุผลนั้นเข้าใจได้ง่ายๆ เมื่อเราเห็นโฆษณาที่ผู้คนต่อสู้กับบางสิ่งเพื่อเอาชนะและผ่านพ้นความทุกข์ยาก บรรลุความฝัน และได้รับชัยชนะ เราจะรู้สึกดีมากและรู้สึกว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้ที่เราตั้งเป้าหมายไว้ มันกระตุ้นอารมณ์ที่มีพลังมากพอที่จะเตือนเราให้นึกถึงความฝันที่เป็นจริงได้ ของ ไนกี้
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
เพื่อส่งเสริมความผูกพันทางอารมณ์ในธุรกิจ B2B คุณต้องพิจารณากลุ่มธุรกิจแบบเฉพาะเจาะจงที่คุณกำลังกำหนดเป้าหมายอยู่ คุณจะดึงอารมณ์ของคุณออกมาได้อย่างไร? เหตุการณ์ประเภทใดหรือคุณค่าใดที่สำคัญต่อกลุ่มเป้าหมายของคุณ? การแสดงจุดยืนและผสมผสานมันเข้ากับโฆษณาของคุณ คุณสามารถสัมผัสหัวใจของผู้ดูและทำให้พวกเขาเชื่อมโยงคุณกับความเชื่อที่พวกเขาให้ความสำคัญ
3. กระตุ้นลูกค้าของคุณ
พวกเรารู้ดีว่าหลายคนเต็มใจที่จะซื้อผลิตภัณฑ์จากแบรนด์หนึ่ง แทนที่จะซื้อจากแบรนด์อื่นๆ เพียงเพราะพวกเขา “ชอบ” แบรนด์หนึ่งมากกว่าอีกแบรนด์หนึ่ง คุณไม่สามารถชอบ “แบรนด์” ได้ พวกมันไม่ใช่คน มันไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีการกระทำ และ ไม่มีบุคลิกภาพ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณเริ่มมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ แบรนด์ คล้ายกับการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับบุคคล บุคคลหนึ่ง นั่นเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเขามีแนวทางการตลาดแบบเล่าเรื่อง การเลือกแบรนด์หนึ่งมากกว่าอีกแบรนด์หนึ่งเป็นการสร้างความภักดีต่อแบรนด์และกระตุ้นให้ลูกค้าซื้อผลิตภัณฑ์และบริการของบริษัทของคุณ
ลองดูที่ แอปเปิ้ล อาจเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่ามีสมาร์ทโฟนที่ “คุ้มค่าเงิน” ที่ดีกว่าในตลาด แต่คุณคงรู้จักผู้คนมากมายที่ซื้อ iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดเพียงเพราะพวกเขา “ชอบแบรนด์” ความเชื่อมโยงระหว่างเรื่องราวของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นกุญแจสำคัญต่อความภักดีของลูกค้าและกระตุ้นให้ผู้คนซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทคุณต่อไป
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
มีหลายวิธีในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณและกระตุ้นให้ผู้คนอยากร่วมงานกับคุณ วิธีที่ง่ายที่สุดวิธีหนึ่ง คือ การแชร์โพสต์จริงเกี่ยวกับปัญหาในชีวิตประจำวัน การเล่าเรื่องทั่วๆไป และ ปัญหาที่คุณกำลังเผชิญ เล่าสิ่งต่างๆเหล่านี้ในแพลตฟอร์ม เช่น TikTok, Youtube, facebook Reels มันจะแสดงให้ลูกค้าที่มีศักยภาพและลูกค้าปัจจุบันเห็นว่า คุณไม่ได้มีอะไรซ้อนเร้น คุณกำลังเผชิญความท้าทาย และ ยินดีรับฟังคำแนะนำของผู้อื่น นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นการต่อสู้ของบริษัทจากมุมมองของมนุษย์ ทำให้ธุรกิจดูเหมือนเข้าถึงได้มากขึ้นและให้กำลังใจกันและกันได้ง่ายขึ้น
4. เพิ่มความภักดีของลูกค้า
จากได้กล่าวไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง สิ่งที่ดีที่สุดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ การตลาดแบบการเล่าเรื่อง คือ การนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ เรื่องราวเป็นวิธีกระตุ้นอารมณ์ความรู้สึกในผู้คน และ อารมณ์เหล่านี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่าการซื้อผลิตภัณฑ์ การทำให้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณและค้นหาคุณค่าร่วม ระหว่างแบรนด์และลูกค้าเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผู้คนกลับมาซื้อผลิตภัณฑ์ของคุณ นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเผยแพร่ข้อความของคุณเกี่ยวกับบริษัทของคุณ เนื่องจากผู้ที่ภักดีต่อแบรนด์ของคุณมักจะแนะนำให้เพื่อนและครอบครัวของพวกเขารู้จัก
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
คิดถึงคนที่คุณอยากร่วมงานด้วย หรือ บริษัทที่คุณอยากร่วมงานด้วย คุณค่าของพวกเขาคืออะไร? อะไรสำคัญสำหรับพวกเขา? พวกเขากำลังฝันถึงอะไร? เมื่อคุณได้คำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้แล้ว ให้ลองนึกถึงวิธีสร้างเรื่องเล่าเกี่ยวกับแบรนด์ที่เชื่อมโยงกับคำถามเหล่านี้ ด้วยวิธีนี้ ผู้คนจะเชื่อมโยงแบรนด์ของคุณ ไม่เพียงแค่กับสิ่งที่คุณผลิตหรือนำเสนอเท่านั้น แต่ด้วยคุณค่าที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญ
5. สร้างแบรนด์ของคุณให้มีเอกลักษณ์
การสร้างเรื่องเล่า เรื่องราวเกี่ยวกับแบรนด์และการสร้างแบรนด์ทำให้คุณแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการแสดงให้เห็นว่า คุณแตกต่าง อย่างไรและทำไม และให้เหตุผลแก่ผู้คนที่จะเลือกคุณมากกว่าคนอื่นๆ เรื่องราวของธุรกิจของคุณ คือ ตัวละครที่คุณต้องการถ่ายทอด และ จงทำให้แบรนด์ของคุณรู้สึกเหมือนเป็นตัวแทนของกลุ่มคน ไม่ใช่บริษัทที่สร้างขึ้นเพื่อสร้างรายได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงทั้งคู่ แต่นักกีฬามักสวม Nike หรือ Adidas เพื่อแสดงว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มนักกีฬาชั้นยอด แบรนด์สามารถเป็นสัญลักษณ์ได้ และแบรนด์ที่ดีที่สุดมักจะทำแบบนั้นด้วย นั่นจึงทำให้พวกเขามีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเอง
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
วิธีที่ยอดเยี่ยมในการรวมบุคลิกภาพและการเล่าเรื่องเข้ากับการตลาดแบบ B2B ของคุณ คือ พิจารณาเรื่องราวที่คุณชอบตอนเด็กๆ และใช้เป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง ซีรีส์ แอนิเมชั่น หนังสั้น หรือ โฆษณา อย่างไรก็ตาม แทนที่จะใช้รูปแบบเดิมๆ คุณสามารถใช้พนักงานและลูกค้าแทนได้ การใช้การเล่าเรื่องประเภทนี้จะทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นๆ ในตลาด และช่วยให้ผู้คนเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณ
6. แสดงให้เห็นว่าคุณไม่ใช่แค่การขายเท่านั้น
การเล่าเรื่อง เป็น วิธีที่ดีที่สุดในการโปรโมตแบรนด์ของคุณโดยไม่ต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ของคุณเองเลย หรือ แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าคุณนำเสนออะไร การใช้เทคนิคนี้หมายความว่า คุณไม่ได้มีเป้าหมายที่จะขายสินค้าหรือบริการใดโดยเฉพาะ แต่พยายามให้ผู้คนซื้อคุณลักษณะและคุณค่าของแบรนด์ ดังนั้น แทนที่จะอวดผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และใช้ CTA (Call to Action) แบบ “ซื้อที่นี่” คุณสามารถนำเสนอแคมเปญการตลาดที่ลูกค้าต้องการเห็นได้ สังเกตไหมว่า คุณไม่ค่อยเห็นผู้คนแชร์โพสต์บนโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับการลดราคาหรือรหัสส่วนลดล่าสุดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม หากคุณสร้างโฆษณาที่ยอดเยี่ยมซึ่งบอกเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งและมีผลกระทบด้านภาพที่ยอดเยี่ยม โฆษณานั้นสามารถแชร์บนหน้าส่วนตัวของผู้คน ดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากขึ้น และเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์
เทคนิคและหลักการที่นำไปใช้กับ B2B ;
คุณสามารถเริ่มต้นด้วยไหวพริบเล็กน้อยในสิ่งที่คุณโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย แทนที่จะใช้การกระตุ้นให้คลิก CTA ทั่วไป เช่น “คลิกที่นี่” และ “เริ่มเลย” คุณสามารถดูแนวโน้มปัจจุบันและพยายามหาบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ของคุณ บุคลิกที่คุณต้องการสื่อ และ ภาพที่คุณต้องการสื่อ นำเสนอแก่ชาวโลก การใช้ มีม หรือ วลียอดนิยม ทำให้แบรนด์ของคุณรู้สึกเป็นมนุษย์มากขึ้นและใกล้ชิดกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเผยแพร่ข้อความของคุณและติดตามแบรนด์ของคุณมากขึ้น
สรุป ผมหวังว่าสิ่งนี้จะทำให้คุณเชื่อว่า การเล่าเรื่อง Storytelling มีประโยชน์มากมายสำหรับธุรกิจ B2B ไม่ใช่แค่ เป็นแค่ วิธีที่ดีที่สุดในการแบ่งปันค่านิยมและเป้าหมายของบริษัทของคุณเท่านั้น แต่ยังเป็นวิธีเดียวที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนระหว่างธุรกิจของคุณกับลูกค้าและคู่ค้า
ต้องบอกว่าทั้งหมดนี้ คุณสามารถติดตามบทความต่างๆของเราได้ หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ วิธีใช้การเล่าเรื่องในการตลาด พร้อมกับเคล็ดลับ การตลาดที่ยอดเยี่ยม การเขียนคำโฆษณา และ กลยุทธ์โซเชียลมีเดีย ครอบคลุมหัวข้อสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเป็น ผู้ประกอบการ และ การตลาดดิจิทัล และคุณยังคุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับบทความ ” การเล่าเรื่อง Storytelling ใน กลยุทธ์การตลาด B2B [ เทคนิค และ หลักการ ] ” นี้ด้วยการคอมเม้นต์ด้านล่าง หรือ ทักไลน์มาพูดคุยกันได้ที่ @brandingchamp
ขอแชร์ค่ะ เป็นประโยชน์กับองค์กร
ด้วยความยินดีครับผม