แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย [ อัพเดทใหม่ ล่าสุด ] รวมข้อสอบการตลาดพร้อมเฉลย

แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย [ อัพเดทใหม่ ล่าสุด ] รวมข้อสอบการตลาดพร้อมเฉลย

แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย

แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย นี้ ทำขึ้นเพื่อเป็นมุมมองของความรู้ด้านการตลาดในสถาบันการศึกษา ระบบความรู้ในกระบวนการทางวิชาการ ซึ่งในการทำงานด้านการตลาดจริงๆในปัจจุบัน อาจแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง แต่ความรู้ความเข้าในในเนื้อหานี้ สามารถนำไปประยุกต์ต่อยอดสำหรับการทำการตลาดให้ธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งในโลกธุรกิจที่คู่แข่งเติบโตทุกวันนี้ การทำความเข้าใจตลาดของคุณ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จ เรานำ “แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย” อัพเดทใหม่ล่าสุดนี้ มาเพื่อให้คุณสามารถปรับปรุงและวางแผนกลยุทธ์การตลาดของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย เป็น เครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนากลยุทธ์การตลาด มันช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจตลาด ส่วนประกอบหลักของกลยุทธ์และแนวทางที่ควรปฏิบัติได้ดีขึ้น การมีแบบทดสอบการตลาดที่ดีพร้อมเฉลย สามารถให้ธุรกิจมองเห็นภาพรวมของสภาพตลาด และวางแผนเพื่อดำเนินการตามเป้าหมาย นอกจากนี้ยังสามารถระบุอุปสรรคที่อาจปรากฏ และวิธีการเอาชนะได้ สิ่งนี้ประโยชน์มากสำหรับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการตลาด การวิเคราะห์คู่แข่ง หรือการวิเคราะห์ผู้บริโภค การเรียนรู้และใช้ประโยชน์จากแบบทดสอบนี้สามารถทำให้ธุรกิจของคุณก้าวขึ้นไปยังระดับถัดไป

แบบทดสอบการตลาด เฉลย
แบบทดสอบการตลาด เฉลย

แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย [อัพเดทใหม่ล่าสุด]

ข้อ 1. สมาคม การ ตลาด แห่ง สหรัฐอเมริกา กล่าว ถึง ความ หมาย ของ การ ตลาด ไว้ อย่างไร

เฉลยแบบที่ 1. สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา AMERICAN MARKETING ASSOCIATION ได้ให้ความหมายของการตลาดไว้ว่า การตลาด (MARKETING) เป็นกระบวนการของการวางแผนการบริหารความคิด การตั้งราคา การส่งเสริมการขาย และการจัดจาหน่าย เกี่ยวกับสินค้าและบริการเพื่อ เกิดการแลกเปลี่ยนและตอบสนองความต้องการของบุคคล

เฉลยแบบที่ 2. สมาคมการตลาดแห่งสหรัฐอเมริกา (American Marketing Association – AMA) ได้กำหนดความหมายของการตลาดว่า “การตลาดคือกิจกรรม, ชุดของสถาบัน, และกระบวนการสร้าง, สื่อสาร, ส่งมอบ, และแลกเปลี่ยนข้อเสนอที่มีคุณค่าสำหรับลูกค้า, ลูกค้าเจ้าของสิทธิ, และสังคมโดยรวม.” นั่นคือ, การตลาดไม่ได้จำกัดเพียงการขายสินค้าหรือบริการเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับสินค้าหรือบริการ, การสื่อสารกับลูกค้า, การส่งมอบสินค้าหรือบริการ, และการแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์ ความหมายนี้ย้ำถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างองค์กรและลูกค้า, และวิธีที่ทั้งสองฝ่ายสามารถร่วมกันสร้างคุณค่าได้

 

ข้อ 2. จง อธิบาย ราย ละเอียด ของ คํา ว่า การ ขาย เป็นการ ติดต่อ สื่อสาร

เฉลยแบบที่ 1. การขาย หมายถึง การติดต่อสื่อสาร ( Communication) ซึ่งมีพนักงานขายเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ติดต่อสื่อสารโดยนำข้อมูล เกี่ยวกับสินค้า นโยบายของบริษัท เสนอให้กับลูกค้า ในขณะเดียวกันพนักงานขายทำหน้าที่รับฟังข้อมูลจากลูกค้าในเรื่องของสินค้า ราคา อื่น กลับสู่บริษัท ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท

เฉลยแบบที่ 2. การขายเป็นการติดต่อสื่อสาร มีความหมายว่า การขายไม่ได้เป็นเพียงแค่การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการเพื่อรับเงินหรือผลตอบแทนอื่นๆ แต่ยังรวมถึงกระบวนการสื่อสารที่มีความซับซ้อนระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อด้วย ผู้ขายต้องสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของตน รวมถึงคุณภาพ ราคา วิธีการใช้งาน และสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ซื้อ ตลอดจนต้องทำให้ผู้ซื้อรู้สึกมั่นใจและพึงพอใจในการซื้อสินค้าหรือบริการดังกล่าว ดังนั้น, การขายเป็นการติดต่อสื่อสารนั้นหมายความว่า ต้องมีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เพื่อทำให้ผู้ซื้อเข้าใจและพอใจในสินค้าหรือบริการที่ขาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการขายและสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อที่ดีและยั่งยืน

 

ข้อที่ 3. ปัญหา ที่ เกิด ขึ้น ใน ระบบ การ แลกเปลี่ยน ระหว่าง ของ ต่อ ของ

เฉลยแบบที่ 1. การแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของนั้นอาจมีปัญหา เมื่อของที่จะน ามาแลกเปลี่ยนไม่ใช่สิ่งที่บุคคลทั้งสองต้องการ ท าให้ต้องเสียเวลาหาบุคคลที่มีสิ่งของ ที่ตนต้องการ และเมื่อพบบุคคลที่มีสิ่งที่ตนต้องการแล้ว ก็อาจเกิดขึ้นได้ กับเป็ด แต่ต้องการข้าวสาร ดังนั้นการแลกเปลี่ยนก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้

เฉลยแบบที่ 2. การแลกเปลี่ยนของต่อของ (Barter system) ซึ่งเป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนที่ไม่มีการใช้เงินเป็นตัวกลาง, มีปัญหาหลายประการที่อาจเกิดขึ้น ดังนี้:
   1. ความไม่สอดคล้องของความต้องการและความสามารถในการให้: การแลกเปลี่ยนของต่อของจะเกิดขึ้นได้เมื่อทั้งสองฝ่ายมีสิ่งที่อีกฝ่ายต้องการ ซึ่งเราเรียกว่า “ความสอดคล้องของความต้องการ”. นอกจากนี้ อาจเกิดปัญหาที่เรียกว่า “ปัญหาของการให้ตรงตามความต้องการ” เช่น ถ้าฉันมีฟังก์ชันที่ต้องการแลกเปลี่ยนเป็นเครื่องดื่ม แต่ผู้ที่มีเครื่องดื่มไม่สนใจในฟังก์ชัน การแลกเปลี่ยนจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้.
   2. การบังคับให้มีการแบ่งส่วน: ในกรณีที่สินค้าไม่สามารถแบ่งส่วนได้ การแลกเปลี่ยนอาจกลายเป็นที่ยาก เช่น ถ้าฉันต้องการแลกเปลี่ยนวัวด้วยข้าว แต่ผู้ที่มีข้าวต้องการเพียงครึ่งวัว การแบ่งวัวออกเป็นส่วนๆ ไม่สามารถทำได้โดยไม่ทำให้วัวเสียค่า.
   3. การเก็บรักษาสินค้า: การเก็บรักษาสินค้าที่ต้องการใช้ในการแลกเปลี่ยนอาจกลายเป็นที่ยาก โดยเฉพาะสำหรับสินค้าที่เปราะบาง หรือที่มีอายุการเก็บรักษาสั้น.
   4. การขาดสาระข้อมูล: ระบบแลกเปลี่ยนของต่อของไม่มีระบบที่ชัดเจนในการตัดสินค่าสินค้าแต่ละประเภท เพราะค่าสินค้าอาจแตกต่างกันในแต่ละที่ และอาจเปลี่ยนแปลงเมื่อมีความสัมพันธ์กับการให้และรับที่เฉพาะเจาะจง.

 

ข้อที่ 4. จง ยก ตัวอย่าง ระบบ บริการ ที่ เกิด ขึ้น จาก การ ขาย

เฉลยแบบที่ 1. การโน้มน้าวหรือให้บริการบางอย่างเพื่อมุ่งเป้าการขายควรทำอย่างเป็นระบบ ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นบริษัทขายเครื่องถ่ายเอกสาร แทนที่เซลส์จะนำเสนอขายเครื่องถ่ายเอกสาร แต่เซลส์ควรเตรียมทำการบ้านมาก่อน เพื่อแนะนำลูกค้าว่า การจัดทำสำเนาเอกสารที่มีคุณภาพที่สุดพร้อมความคุ้มค่าที่สุด คือ อะไร? แล้วค่อยๆช่วยหาคำตอบร่วมกันว่าสิ่งนั้นควรเป็นแบบไหน แล้วค่อยๆอธิบายถึงเครื่องถ่ายเอกสารของเรา หรือ อีกหนึ่งตัวอย่าง เซลส์ขายคอนโดหรือบ้าน ควรเลี่ยงการพูดคุย”ขาย”คอนโดหรือบ้านกับลูกค้าอยู่อย่างเดียว เช่น มี 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่เท่าไร ราคาเท่าไหร่ เพราะสิ่งเหล่านี้เซลส์คนไหนๆก็พูดเหมือนๆกัน แต่เซลส์ควรนำเสนอ Solution ให้ลูกค้าเลยว่า “ เมื่อเข้าอยู่แล้ว จะเกิดอะไร จะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นเหมือนอยู่ในรีสอร์ทส่วนตัว เพราะเราได้ออกแบบไว้ในสไตล์รีสอร์ท ทำงานเหนื่อยๆ กลับมาถึงบ้านก็จะเกิดความรู้สึกสดชื่น แถมยังสามารถนั่งพักที่ระเบียงดูพระอาทิตย์ตกได้อีกด้วย”

เฉลยแบบที่ 2. การขายสินค้าและบริการมีหลากหลายรูปแบบและระบบบริการที่เกิดขึ้นจากการขาย โดยทั่วไป การขายสินค้าจะมีการบริการที่เกี่ยวข้องแนบมาด้วย ตัวอย่างการบริการที่เกิดจากการขายดังนี้:
1. การบริการหลังการขาย: เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าทางธุรกิจจะมีบริการที่ตามมาหลังจากการขาย เช่น การบริการซ่อมแซม, การเปลี่ยนสินค้าถ้ามีปัญหา, การให้คำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน, การอัพเดทซอฟต์แวร์ ฯลฯ ตัวอย่างเช่น การซื้อสมาร์ทโฟนจาก Apple หลังจากการซื้อจะมีบริการ Apple Care ที่ให้บริการซ่อมแซม และอัพเดทซอฟต์แวร์
2. การบริการแบบสมัครใจ: บางกรณีการขายสินค้าหรือบริการจะเป็นการขายสมัครใจในบริการ เช่น การสมัคร Netflix หรือ Spotify หลังจากการสมัครลูกค้าจะได้รับบริการดูหนัง ฟังเพลง ตามที่สมัคร
3. การบริการตามสัญญา: บางการขายสินค้าหรือบริการอาจจะมีสัญญาที่กำหนดการบริการที่ลูกค้าจะได้รับ เช่น การขายเครื่องปรับอากาศ ทางธุรกิจอาจจะมีสัญญาที่กำหนดการบริการซ่อมแซมและดูแลรักษาตามช่วงเวลาที่กำหนด
4. บริการเสริม: บางครั้งการขายสินค้าสามารถมีบริการเสริมที่มากับสินค้า เช่น การขายเครื่องแต่งกายที่มีบริการเสริมที่แสดงวิธีการดูแลรักษาสินค้า หรือบริการจัดส่งที่มากับการขายออนไลน์
5. บริการระบบการชำระเงิน: บางธุรกิจจะมีระบบการชำระเงินที่เฉพาะเจาะจงที่เกี่ยวข้องกับการขายสินค้าหรือบริการ เช่น การขายสินค้าออนไลน์ที่มีการรองรับการชำระเงินผ่านเครดิตการ์ด การโอนเงินออนไลน์ หรือการใช้เงินสดเมื่อส่งสินค้า
6. บริการสมาชิก: สำหรับธุรกิจที่มีระบบสมาชิก การขายสินค้าหรือบริการก็อาจรวมถึงบริการสมาชิก เช่น สิทธิพิเศษในการสั่งซื้อสินค้า ส่วนลดเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการ และการมอบของแถม

 

ข้อที่ 5. สินค้า ใด ต่อ ไป นี้ เป็น สินค้า ที่ ต้อง มี หนังสือ รับรอง และ ขึ้น ทะเบียน เพื่อ ส่ง ออก

เฉลยแบบที่ 1. สินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรอง – ผัก ผลไม้ ได้แก่ ลำไย ทุเรียน ลิ้นจี่ มังคุด มะม่วง ส้มโอ หน่อไม้ฝรั่ง ขิง กระเจี๊ยบสด และพริก ที่ส่งออก ไปสิงคโปร์ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ต้องมีหนังสือ รับรองสารตกค้างจากกรมวิชาการเกษตร กระทรวง เกษตรและสหกรณ์ หมายเหตุ – ประกาศกระทรวงพาณิชย์ พ.ศ. 2546

เฉลยแบบที่ 2. ในประเทศไทย, มีบางประเภทของสินค้าที่ต้องมีหนังสือรับรองหรือมีการขึ้นทะเบียนก่อนที่จะสามารถส่งออกไปยังประเทศอื่นได้. การขึ้นทะเบียนและหนังสือรับรองนี้มักจะเป็นเพื่อรับรองว่าสินค้าได้ผ่านการทดสอบและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง. ตัวอย่างของสินค้าที่อาจต้องมีการขึ้นทะเบียนและหนังสือรับรองที่เกี่ยวข้องรวมถึง:
   1. สินค้าทางการแพทย์: เครื่องมือแพทย์และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ อาจต้องขึ้นทะเบียนกับองค์กรการควบคุมและรักษาสุขภาพเช่นองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ (FDA) หรือยุโรป (CE Mark) ขึ้นอยู่กับประเทศที่สินค้าจะถูกส่งออกไป.
   2. สินค้าเกษตร: ผลไม้, ผัก, และสินค้าเกษตรอื่น ๆ อาจต้องมีหนังสือรับรองทางการเกษตร เพื่อรับรองว่าสินค้าได้รับการผลิตตามมาตรฐานที่กำหนด และได้ผ่านการตรวจสอบและการควบคุมโรคและศัตรูพืช.
   3. สินค้าอาหาร: การส่งออกสินค้าอาหาร, ทั้งอาหารทะเล, ผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์, และสินค้าอาหารที่ปรุงแต่งอาจต้องมีการรับรองความปลอดภัยของอาหาร, ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดและข้อบังคับของประเทศที่สินค้าจะถูกส่งออกไป.
   4. ผลิตภัณฑ์สัตว์: สินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์ เช่น เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์ที่มาจากสัตว์ เช่น สิ่งทอจากขนสัตว์, หรือสัตว์มีชีวิตอาจต้องมีหนังสือรับรองที่ระบุว่าสินค้าได้ผ่านการตรวจสอบโรคที่เกี่ยวข้อง.
ระบบหนังสือรับรองและการขึ้นทะเบียนนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อรับรองว่าสินค้าที่ส่งออกได้ทำตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่เกี่ยวข้องของประเทศที่สินค้าถูกส่งออกไป

แบบทดสอบการตลาด พร้อมเฉลย
แบบทดสอบการตลาด พร้อมเฉลย

ข้อที่ 6. จง อธิบาย ราย ละเอียด ของ แนว ความ คิด แบบ เน้น การ ตลาด และ สังคม

เฉลยแบบที่ 1. แนวความคิดทางการตลาดแบบมุ่งเน้นสังคมจะยึดหลักว่าการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันจะต้องควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมต่างๆ ที่ทำให้ผู้บริโภคมองกิจการในแง่ดีว่าเป็นผู้ทำธุรกิจเพื่อสังคมห่วงใยสังคม และห่วงใยสิ่งแวดล้อม

เฉลยแบบที่ 2. แนวความคิดที่เน้นการตลาดและสังคม, หรือ “Social Marketing Concept”, มุ่งเน้นที่การที่ธุรกิจและองค์กรต้องใช้กลยุทธ์การตลาดของตนเพื่อสร้างผลประโยชน์ที่ดีต่อสังคมในภาพรวม ทั้งในระดับมิโคร (คือ ภายในองค์กรหรือธุรกิจ) และระดับมาโคร (คือ สังคมในภาพรวม) ในการตลาดแบบเน้นสังคม, การสร้างค่าให้กับลูกค้าและทำให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดไม่ใช่เป้าหมายที่สำคัญที่สุดเท่าไรแต่กลยุทธ์ที่สำคัญคือการแสวงหาความดีต่อสังคมทั้งหมด ซึ่งอาจรวมถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, การส่งเสริมการปฏิบัติตามกฎหมายและความยุติธรรม, การสร้างความรู้และความตระหนักรู้ในเรื่องสุขภาพและความปลอดภัย, หรือการส่งเสริมการพัฒนาทางสังคม ยกตัวอย่างเช่น, บริษัทที่ใช้กลยุทธ์การตลาดแบบเน้นสังคมอาจเลือกที่จะผลิตสินค้าที่ทำด้วยวัสดุที่มีการกำจัดสิ้นสุดทางชีวภาพหรือเลือกที่จะทำงานกับผู้ผลิตท้องถิ่นเพื่อช่วยสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น. หรือการทำโครงการ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งทางสังคมและสิ่งแวดล้อม

 

ข้อที่ 7. จง ยก ตัวอย่าง สินค้า ที่ ไม่ ต้อง มี บริการ หลัง การ ขาย

เฉลยแบบที่ 1. สินค้าที่ไม่ต้องมีบริการหลังการขาย สินค้าประเภทนี้ลูกค้ามักจะ รู้จักและคุ้นเคยดีอยู่แล้ว ส่วนมากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปมีราคาไม่ สูงมากและหาซื้อได้ตามท้องตลาดทั่วไป เช่น สบู่ ยาสีฟัง แชมพู อาหาร กระป๋อง เสื้อผ้า เป็นต้น

เฉลยแบบที่ 2. สินค้าที่ไม่ต้องมีบริการหลังการขายมักจะเป็นสินค้าที่มีราคาต่ำหรือสินค้าที่มีชีวิตจำนวนมากและอาจใช้แล้วทิ้งได้. ตัวอย่างสินค้าประเภทนี้อาจมีดังต่อไปนี้:
   1. ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม: วางซื้อสินค้าอาหารหรือเครื่องดื่ม เช่น ขนม, น้ำดื่ม, เนื้อสัตว์, ผัก ฯลฯ สินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้แล้วทิ้งและไม่ต้องการบริการหลังการขาย
   2. สินค้าประเภทใช้แล้วทิ้ง: สินค้าที่ใช้แล้วทิ้ง เช่น ทิชชู่, ถุงพลาสติก, แปรงสีฟัน ฯลฯ ปกติจะไม่ต้องการบริการหลังการขาย เนื่องจากเมื่อสินค้าเหล่านี้ใช้งานครบจะถูกทิ้งทิ้งไปทันที
   3. สินค้าประเภทของเล่น: ของเล่นบางประเภท โดยเฉพาะของเล่นที่ราคาต่ำ อาจไม่ต้องการบริการหลังการขาย เพราะลูกค้ามักจะเลือกที่จะซื้อสินค้าใหม่แทนที่จะซ่อม.
อย่างไรก็ตาม, ความต้องการในบริการหลังการขายอาจขึ้นอยู่กับนโยบายของผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายและความคาดหวังของลูกค้า การมีบริการหลังการขายเป็นวิธีที่ผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายสามารถเพิ่มความไว้วางใจและสร้างความพึงพอใจ

 

ข้อที่ 8. การ เสนอ ขาย โดย ใช้ ศิลปะ การ ขาย และ การ สาธิต ที่ มี ประสิทธิภาพ ช่วย ให้ เกิด ผล อย่างไร

เฉลยแบบที่ 1. การเสนอขาย คือ การอธิบายให้ลูกค้าได้ทราบถึงรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และผลประโยชน์และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่จะได้รับ ตลอดจนการโน้มน้าวให้ลูกค้าเกิดความต้องการในตัวผลิตภัณฑ์ขึ้นมา ศิลปการขาย หมายถึง การค้นหาความต้องการของผู้มุ่งหวัง และกระตุ้นให้นำสินค้าหรือบริการ ไปตอบสนองความต้องการด้วยความพึงพอใจ ศิลปการขาย เป็นสิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้ แต่ทุกคนจะประสบความสำเร็จในอาชีพขายได้นั้น ต้องศึกษาและค้นให้พบว่า นักขายที่ประสบความสำเร็จเขาทำอย่างไร ด้วยเหตุนี้นักขายมืออาชีพทุกคน จึงยึดมั่นในการปฏิบัติตนตามคำศัพท์ SALESMANSHIP ส่วน การสาธิตการขาย เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การขายดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เสียเวลามากนัก เป็นการแสดงหรือทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าผู้คาดหวัง ให้เกิดความสนใจ เกิดภาพลักษณ์สร้างความปรารถนาไปสู่ความเชื่อมั่น และตัดสินใจชื้อในที่สุด ดังนั้น ในการเสนอขายและการสาธิตนั้น พนักงานจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งเนื้อหาที่พูด ลักษณะท่าทาง การพูด น้ำเสียง เวลาที่ใช้ไปในการสาธิต ตลอดจนการเตรียมพร้อมในอุปกรณ์ช่วยการสาธิตต่างๆ

เฉลยแบบที่ 2. การใช้ศิลปะในการขายและการสาธิตสินค้าหรือบริการที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยเพิ่มยอดขายและสร้างความรู้สึกที่ดีในลูกค้าได้ดังนี้:
1. ช่วยสร้างความน่าสนใจ: การสาธิตผลิตภัณฑ์หรือบริการอย่างมืออาชีพสามารถสร้างความตื่นเต้นและความสนใจในลูกค้า เมื่อลูกค้าสนใจสินค้าหรือบริการของคุณ สิ่งนี้สามารถส่งผลให้เกิดการซื้อ
2. เพิ่มความเข้าใจ: การสาธิตผลิตภัณฑ์หรือบริการเป็นวิธีที่ดีในการแสดงถึงคุณสมบัติหรือข้อดีของสินค้าหรือบริการของคุณ การเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการสามารถช่วยทำให้ลูกค้ารู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
3. สร้างความประทับใจ: การใช้ศิลปะในการขายและการสาธิตสามารถช่วยสร้างความประทับใจที่ดีและเป็นที่จดจำได้ในใจของลูกค้า การสร้างความประทับใจที่ดีสามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการของคุณอีก
4. สร้างความไว้วางใจ: การแสดงสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าได้เห็นด้วยตาของตนเองสามารถช่วยสร้างความไว้วางใจได้ ลูกค้าจะมั่นใจว่าสินค้าหรือบริการที่พวกเขาซื้อมีคุณฃ

 

ข้อที่ 9. ตลาด ที่ มี การ แข่งขัน สมบูรณ์ หาก มี การ ซื้อขาย กัน น้อย ลง จะ ส่ง ผล ต่อ ตลาด อย่างไร

เฉลยแบบที่ 1. ในตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Perfectly competitive market) ดุลยภาพของตลาดหรือ Market Equilibrium คือ จุดที่อุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) พบกัน ถ้าการซื้อและการขายน้อยลงทั้งคู่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับดุลยภาพของตลาดจะขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่างการลดลงของการซื้อและการขาย:
1. ถ้าการซื้อและการขายลดลงในสัดส่วนเท่ากัน จุดดุลยภาพของตลาดจะยังคงเหมือนเดิม แต่ปริมาณการซื้อขายที่ดุลยภาพจะลดลง
2. ถ้าการซื้อลดลงมากกว่าการขาย จุดดุลยภาพจะเลื่อนลงบนแกนราคา (ราคาลดลง) เนื่องจากมีสินค้าหรือบริการเหลือเกินในตลาด
3. ถ้าการขายลดลงมากกว่าการซื้อ จุดดุลยภาพจะเลื่อนขึ้นบนแกนราคา (ราคาเพิ่มขึ้น) เนื่องจากสินค้าหรือบริการมีน้อยเกินกว่าที่ผู้บริโภคต้องการ
แม้ว่าปริมาณการซื้อขายทั้งหมดในตลาดจะลดลง, แต่ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ยังคงทำงานและปรับปริมาณอุปทานและอุปสงค์ให้ตรงกับดุลยภาพใหม่

เฉลยแบบที่ 2. ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition) ซึ่งมีลักษณะเป็นการแข่งขันที่เกิดขึ้นระหว่างผู้ผลิตหลาย ๆ คนที่มีสินค้าหรือบริการที่คล้ายคลึงกัน และผู้ซื้อหลาย ๆ คนที่มีข้อมูลเกี่ยวกับราคาและคุณภาพของสินค้าที่เพียงพอ, หากมีการซื้อขายที่ลดลง ส่งผลกระทบต่อตลาดดังนี้:
1. ลดการสร้างสินค้าหรือบริการ: ผู้ผลิตอาจจะตัดสินใจลดการสร้างสินค้าหรือบริการลง เนื่องจากการซื้อขายที่ลดลง ส่งผลให้เกิดการลดลงในปริมาณการผลิต ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อกำลังการผลิตและการจ้างงาน
2. การปรับราคา: ในตลาดที่มีการแข่งขันสมบูรณ์ ราคาถูกกำหนดโดยตลาด การลดการซื้อขายสามารถทำให้ราคาของสินค้าหรือบริการลดลง อย่างไรก็ตาม หากการลดการซื้อขายเกิดจากความต้องการลูกค้าที่ลดลง ผู้ผลิตหลาย ๆ คนอาจตัดสินใจที่จะลดราคาสินค้าของตนเพื่อทำให้สินค้าของตนน่าสนใจยิ่งขึ้น
3. ผลกระทบต่อกำไร: กำไรของผู้ผลิตเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่อาจได้รับผลกระทบ หากมีการซื้อขายที่ลดลง, กำไรของผู้ผลิตอาจลดลง เนื่องจากมีการขายสินค้าหรือบริการที่ลดลง
4. การจำกัดการเข้ามาของผู้ผลิตใหม่: หากมีการซื้อขายที่ลดลง, สภาพความเข้าใจและความมั่นคงของตลาดอาจทำให้ผู้ผลิตใหม่ลังเลที่จะเข้ามาในตลาดนี้ ซึ่งอาจทำให้มีการจำกัดการแข่งขันในอนาคต

 

ข้อที่ 10. ต้นทุนการส่งออก แบบ fob terms มีอะไรบ้าง

เฉลยแบบที่ 1. FOB term ย่อมาจาก Free on Board term เป็นเทอมที่ผู้ขายจะมีขอบเขตในการรับผิดชอบในการส่งมอบสินค้า ค่าใช้จ่าย ความเสี่ยงต่างๆของสินค้า ดูแลให้จนถึงท่าเรือต้นทาง ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบในการนำสินค้าไปส่งมอบที่ท่าเรือต้นทางสำหรับการส่งออก เมื่อสินค้าขึ้นไปบนเรือแล้ว ค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงต่างๆจะเป็นของผู้ซื้อ ซึ่งผู้ซื้อจะเป็นผู้ดูแลภาระค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงต่างๆตั้งแต่สินค้าอยู่บนเรือเป็นต้นไป จนถึงปลายทาง ดังนั้น ต้นทุนการส่งออกที่อยู่ในความรับผิดชอบของผู้ขาย คือ การจัดเตรียมสินค้าและนำไปจัดส่งให้ถึงท่าเรือต้นทาง โดยจะต้องจัดเตรียมสินค้า เอกสาร ใบกำกับสินค้า ใบสัญญา และ ส่งมอบสินค้าที่ท่าเรือต้นทาง ภายในระยะเวลาที่กำหนดเอาไว้ในสัญญา เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายต่างๆในการขนส่งสินค้าไปยังท่าเรือต้นทาง ค่าใช้จ่ายในการแพ็คสินค้า ค่าใช้จ่ายอื่นๆซึ่งรวมถึงภาษีและอากรที่เกิดขึ้นก่อนที่สินค้าจะถูกส่งขึ้นเรือ ทั้งหมดนี้จะเป็นผู้ขายที่รับภาระต้นทุนส่วนแรกนี้ไป

เฉลยแบบที่ 2. ต้นทุนการส่งออกแบบ FOB หรือ Free On Board มักจะรวมถึงค่าใช้จ่ายต่อไปนี้:
   1. ต้นทุนการผลิต: รวมถึงรายจ่ายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า, เช่น วัตถุดิบ, แรงงาน, ค่าโรงงาน, และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
   2. ค่าบรรจุหีบห่อ: รวมถึงราคาของวัสดุบรรจุภัณฑ์, แรงงานในการบรรจุ, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
   3. ค่าขนส่งภายในประเทศ: ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสินค้าจากที่ผลิตไปยังท่าเรือ รวมถึงการประกันและขนส่ง
   4. ค่าศุลกากรและภาษี: ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก, อาจรวมถึงภาษีส่งออกหรือภาษีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
   5. ค่าท่า: รวมถึงค่าใช้จ่ายในการจัดการสินค้าที่ท่าเรือ, ซึ่งอาจรวมถึงการขึ้นสินค้าลงเรือ
   6. ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ: อาจรวมถึงการจัดการความเสี่ยง, การเตรียมเอกสารสำหรับการส่งออก, ค่าทำความสะอาดสินค้า, และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ความสำคัญของระบบ FOB คือผู้ขายมีความรับผิดชอบในการจัดการสินค้าและต้นทุนทั้งหมดจนกว่าสินค้าจะอยู่บนเรือ, หลังจากนั้นความรับผิดชอบจะถูกโอนไปยังผู้ซื้อ

 

ข้อที่ 11. แนวคิด ทางการ ขาย แตก ต่าง จาก แนวคิด ทางการ ตลาด ดังนี้

เฉลยแบบที่ 1. การขาย คือ กิจกรรมที่นำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและพัฒนาขึ้นมาด้วยความคิดและความต้องการของผู้ผลิต จากนั้นจึงนำสินค้าเหล่านี้ออกไปสู่ตลาดพร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดความต้องการ จนถึงจุดที่มีผู้ต้องการซื้อจนเกิดรายได้และยอดขายเป็นเงินขึ้นมา ส่วน การตลาด คือ การมุ่งเน้นไปที่การหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย  สอบถาม เรียนรู้ ทำความเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย แล้วผลิตสินค้าบริการเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อกลุ่มเป้าหมาย

เฉลยแบบที่ 2. การขายและการตลาดคือสองส่วนของกระบวนการทางธุรกิจที่มักจะถูกทำให้สับสน, แต่ในความเป็นจริงแล้วมีความแตกต่างอย่างชัดเจน ดังนี้:
   1. จุดมุ่งหมาย:
การขายมีจุดมุ่งหมายหลักในการทำให้สินค้าหรือบริการที่มีอยู่ถูกขายออกไป, ซึ่งมักจะมุ่งเน้นที่ผลิตภัณฑ์และเน้นการขับเคลื่อนการขายในระยะสั้น เมื่อเทียบกับการตลาด, มันมุ่งมองไปที่การตระหนักรู้และการตอบสนองต่อความต้องการและความต้องการของลูกค้า, ด้วยการสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่สอดคล้องกับความต้องการเหล่านี้. การตลาดมุ่งเน้นไปที่ลูกค้าและเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า
   2. กระบวนการ:
การขายเป็นกระบวนการที่เน้นไปที่การโน้มน้าวลูกค้าให้ซื้อสินค้าหรือบริการ, มักจะผ่านทางการสื่อสารตรงหรือการโฆษณา ในขณะที่การตลาดเป็นกระบวนการที่มุ่งมองไปที่การสร้างและส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้า, ผ่านการวิเคราะห์ตลาด, การทำราคา, การเลือกช่องทางการจัดจำหน่าย, การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ และการสื่อสารกับลูกค้า
   3. นิยามความสำเร็จ:
สำหรับการขาย, ความสำเร็จมักจะถูกวัดจากปริมาณของสินค้าหรือบริการที่ขายได้ สำหรับการตลาด, ความสำเร็จมักจะถูกวัดจากมาตรฐานที่เกี่ยวกับความพึงพอใจของลูกค้า, ความภักดีต่อแบรนด์, หรือการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

แบบทดสอบ การตลาดพร้อมเฉลย
แบบทดสอบ การตลาดพร้อมเฉลย

ข้อที่ 12. ปัจจุบัน ไทย มี ความ ตกลง การ ค้า เสรี ที่ มี ผล บังคับ ใช้ แล้ว รวม 14 กรอบ ข้อ ตกลง มี ประเทศ ใด บ้าง

เฉลย ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Area : FTA) เป็นความ ตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ทั้งในระดับทวิภาคี พหุภาคี และระดับภูมิภาค ในข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม พร้อมด้วยคู่ค้าอาเซียนอีก 5 ประเทศ อันได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้
โดยประเทศไทย เริ่มมีการจัดทำความตกลงการค้า เสรี ตั้งแต่ พ.ศ. 2536 ซึ่งในปัจจุบัน
ไทยมีการจัดทำ FTA ทั้งสิ้น จํานวน 14 ฉบับ ( 14 กรอบข้อตกลง) ได้แก่
1) ไทย-ออสเตรเลีย (Thailand – Australia Free Trade Agreement : TAETA)
2) ไทย-นิวซีแลนด์ (Thailand – New Zealand Closer Economic Partnership Agreement : TNZCEP)
3) ไทย-ญี่ปุ่น (Japan – Thailand Economic Partnership Agreement : JTEPA)
4) ไทย – อินเดีย (Thailand – India Free Trade Agreement)
5) ไทย – เปรู (Framework Agreement on Closer Economic Partnership between Thailand and Peru)
6) ไทย – ชิลี (Thailand – Chile Free Trade Agreement : TCFTA)
7) ความตกลงการค้าสินค้าอาเซียน (ASEAN Trade in Goods Agreement : ATIGA)
8) อาเซียน-จีน (ASEAN-China Free Trade Agreement : ACFTA)
9) อาเซียน-อินเดีย (ASEAN – INDIA Free Trade Agreement : AIFTA)
10) อาเซียน – ญี่ปุ่น (ASEAN – Japan Comprehensive Economic Partnership : AJCEP)
11) อาเซียน – เกาหลีใต้ (ASEAN – Korea Free Trade Agreement : AKFTA)
12) อาเซียน – ออสเตรเลีย – นิวซีแลนต์ (ASEAN – Australia- New Zealand Free Trade Area: AANZE TA)
13) อาเซียน – ฮ่องกง (ASEAN – Hong Kong Free Trade Agreement)
14) ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ประกอบด้วยสมาชิกอาเซียน 10 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา อินโดนีเซีย ลาว มาเลเซีย เมียนมา ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไทย และเวียดนาม พร้อมด้วยคู่ค้าอาเซียนอีก 5 ประเทศ อันได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ และเกาหลีใต้

 

ข้อที่ 13. เพราะ เหตุ ใด การ ตลาด จึง ต้อง ศึกษา เกี่ยว กับ ประชากร ใน สังคม

เฉลยแบบที่ 1. หนึ่งในแนวทางการศึกษาการตลาด Approach to Study of Marketing คือ ศึกษาเกี่ยวกับสังคม Social Approach เป็นการศึกษาเกี่ยวกับประชากรในสังคมหรือคนในชุมชนเพระาสังคมจะมีส่วนในการกำหนดรูปแบบการดำเนินงานของธุรกิจที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของประชากร

เฉลยแบบที่ 2. การศึกษาเกี่ยวกับประชากรในสังคมเป็นส่วนสำคัญของการตลาดเนื่องจากเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้:
1. ความเข้าใจในลูกค้าเป้าหมาย: การทราบข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่แบ่งเป็นเพศ, อายุ, รายได้, การศึกษา, ที่อยู่, ภาษา, วัฒนธรรม และอื่น ๆ สามารถช่วยให้ธุรกิจสามารถระบุและเข้าใจเป้าหมายลูกค้าได้ดีขึ้น ทำให้สามารถสร้างสรรค์สินค้าและบริการที่ตรงตามความต้องการและความต้องการของพวกเขาได้
2. ตัวแทนของการเปลี่ยนแปลงของทางสังคม: การศึกษาประชากรในสังคมสามารถช่วยให้การตลาดได้รับรู้ถึงแนวโน้มหรือการเปลี่ยนแปลงในสังคม เช่น เทคโนโลยี, ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง, และข้อมูลด้านเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถใช้ปรับปรุงหรือปรับเปลี่ยนแผนการตลาด
3. การตัดสินใจเรื่องการตลาด: ข้อมูลทางประชากรสามารถช่วยในการตัดสินใจเรื่องการตลาด เช่น การเลือกช่องทางการขาย, การตั้งราคาสินค้า, การเลือกวิธีการโฆษณา และการตัดสินใจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมการขาย
โดยสรุป, การศึกษาเกี่ยวกับประชากรในสังคมเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างและดำเนินการตลาดที่มีประสิทธิภาพและมุ่งมั่นในการเป้าหมายลูกค้าที่เหมาะสม

 

ข้อที่ 14. จง อธิบาย ราย ละเอียด ของ การ โฆษณา

เฉลยแบบที่ 1. การโฆษณา ( Advertising ) เป็นการนำเสนอต่อสาธารณชน (Public Presentation) บอกข่าวสารสินค้าแก่คนจำนวนมากไม่เจาะจงเฉพาะตัวหรือกลุ่มข่าวสารต้องมีความเป็นสากล เข้าใจได้ทั่วไป กระตุ้นให้เกิดการรับรู้ และพฤติกรรมการซื้อ การโฆษณา เป็นวิธีการนำเสนอต่อสาธารณชนโดยไม่ใช้ตัวบุคคล (Nonpersonal Presentation) ระบุชื่อสินค้า บริการ หรือองค์กรที่เป็นเจ้าของสินค้าอย่างชัดเจน นำเสนอโดยการผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งล้วนแต่ต้องใช้งบประมาณค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น
นอกจากนี้การโฆษณายังมีลักษณะดังต่อไปนี้
1. กระจายได้กว้างขวาง (Persuasiveness) ข่าวสารผ่านการโฆษณาแทรกซึมเข้าสู่คนจำนวนมากสามารถกำหนดความถี่ของข่าวสาร เนื้อหาข่าวสารตามที่เจ้าของสินค้ากำหนด กลุ่มเป้าหมายสามารถรับสื่อได้อย่างเสรีไม่ถูกบังคับ ไม่สูญเสียความเป็นส่วนตัว สามารถเปรียบเทียบข้อมูลกับสินค้าอื่นๆ ได้
2. เน้นจุดเด่นได้ตามที่ต้องการ (Amplified Expressiveness) โฆษณาสามารถถ่ายทอดข่าวสารได้ด้วยงานความคิดสร้างสรรค์ เน้นความงดงามของภาพ เสียง และงานพิมพ์ เสริมเน้นจุดเด่นของสินค้าได้เป็นอย่างดี
3. ไม่มีความเป็นส่วนตัว (Impersonality) ผู้รับมีอิสระในการรับข่าวสาร ไม่รู้สึกมีข้อผูกพันที่จะต้องให้ความสนใจหรือต้องตอบสนอง ซึ่งจะแตกต่างจากวิธีอื่นๆ เช่น การใช้พนักงานขาย

เฉลยแบบที่ 2.  การโฆษณา เป็น การสื่อสารที่จัดทำขึ้นเพื่อแนะนำ, ส่งเสริม, หรือกระตุ้นการขายสินค้าหรือบริการโดยผู้ประกอบการ การโฆษณามีจุดประสงค์หลักที่เป็นการสร้างความตระหนักรู้, สร้างความประทับใจ, และกระตุ้นการดำเนินการจากผู้รับสารสนเทศ โดย รายละเอียดของการโฆษณา คือ
   1. ข้อความและภาพ: การโฆษณามักจะประกอบด้วยข้อความและภาพที่ถูกออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจและส่งเสริมการดำเนินการจากผู้รับสารสนเทศ
2. ช่องทาง: การโฆษณาสามารถเกิดขึ้นได้ในหลายรูปแบบและช่องทาง เช่น โฆษณาทางโทรทัศน์, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร, ป้ายโฆษณา, หรือทางอินเทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย
3. ผู้ทำการโฆษณา: โดยทั่วไปผู้ทำการโฆษณาจะเป็นผู้ประกอบการ, องค์กร, หรือบุคคลที่ต้องการส่งเสริมสินค้าหรือบริการของตน
4. เป้าหมาย: การโฆษณามุ่งมั่นต่อกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง, ซึ่งสามารถระบุได้ตามเกณฑ์เช่น อายุ, เพศ, ที่อยู่, รายได้, วัฒนธรรม, หรือ รสนิยมทางการซื้อ
5. ฟังก์ชัน: หน้าที่หลักของการโฆษณาคือการสร้างความตระหนักรู้, กระตุ้นความสนใจ, สร้างความประทับใจ, และกระตุ้นการดำเนินการ
การโฆษณาถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการตลาดที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสื่อสารไปยังลูกค้าเป้าหมายและกระตุ้นการซื้อของหรือบริการ

 

ข้อที่ 15. ส่วน ประสม ของ การ ส่งเสริม การ ตลาด มี อะไร บ้าง

เฉลยแบบที่ 1. ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (promotion mix) เป็น เครื่องมือพื้นฐานที่ใช้เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ในการติดต่อสื่อสารทางการตลาดขององค์การ ประกอบด้วย
1. การโฆษณา (advertising)
2. การส่งเสริมการขาย (sales promotion)
3. การขายโดยพนักงานขาย (personal selling)
4. การให้ข่าวและประชาสัมพันธ์ (publicity and public relations)
5. การตลาดทางตรง (direct marketing)

เฉลยแบบที่ 2. ส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด (Promotion Mix) ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1. การโฆษณา (Advertising): การใช้สื่อทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อสื่อสารข้อความแบบชำระเงิน รวมถึงทีวี, วิทยุ, โฆษณาแบนเนอร์, โฆษณาบนสื่อสังคม, และอื่น ๆ
2. การขายส่วนบุคคล (Personal Selling): การสื่อสารตัวต่อตัวระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ เช่น การขายบนหน้าร้าน, การขายทางโทรศัพท์, หรือการขายทางอีเมล
3. การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion): กิจกรรมที่สร้างความเร้าร้อนและกระตุ้นการซื้อในระยะสั้น อาจรวมถึงคูปองส่วนลด, การแจกของฟรี, การแจกแต้มสะสม, และการจัดกิจกรรมพิเศษอื่น ๆ
4. การประชาสัมพันธ์ (Public Relations): การสร้างและบำรุงภาพลักษณ์ดีขององค์กร ผ่านการสื่อสารกับสาธารณชน, ข่าวสาร, และกิจกรรมที่เกี่ยวข้อง. การประชาสัมพันธ์อาจจะรวมถึงการจัดงาน, การจัดการกับภาพลักษณ์ในสถานการณ์วิกฤต, และการสนับสนุนสายพันธุ์การตลาดอื่น ๆ
5. การตลาดทางตรง (Direct Marketing): การติดต่อกับลูกค้าโดยตรงผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น จดหมาย, อีเมล, โทรศัพท์, และการตลาดดิจิทัลอื่น ๆ แทนการใช้สื่อสังคมออนไลน์

แบบทดสอบ การตลาด พร้อมเฉลย
แบบทดสอบ การตลาด พร้อมเฉลย

ข้อที่ 16. การ ขาย มี ความ สํา คั ญ ต่อ ธุรกิจ และ การ ค้า ดัง มี ราย ละเอียด คือ

เฉลยแบบที่ 1. ความสำคัญของการขายต่อการดำเนินธุรกิจและต่อบุคคลที่เกี่ยวข้องในชีวิตประจำวันต่อเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
1. ความสำคัญของการขายต่อชีวิตประจำวัน
“เราทุกคนล้วนเป็นพนักงานขายตลอดชีวิต เราขายความคิด แผนงาน ความกระตือรือร้นของเราแก่ผู้ที่เราติดต่อสัมพันธ์ด้วย” Charles M. Schwab
แสดงให้เห็นว่า การขายเป็นวิถีชีวิตที่เราทุกคนได้ทำอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน และ การขายนั้นเกิดจากการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยมีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ความสำเร็จที่เรามุ่งหวังไว้
2. ความสำคัญของการขายต่อการดำเนินธุรกิจ
การขายถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ เพราะเป็นงานที่ทำให้เกิดรายได้แก่กิจการ และยังเป็นงานหลักที่จะทำให้งานด้านอื่นๆ ของธุรกิจ อันประกอบด้วยด้าน บัญชี การเงิน บุคลากร ขนส่ง เป็นต้น ดำเนินต่อไปได้ ดังเช่น ถ้าธุรกิจขายสินค้าได้ดี ก็ต้องผลิตเพิ่ม หรือ ซื้อสินค้าเพิ่ม งานด้านอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นตาม แต่ถ้าธุรกิจไม่สามารถ
ขายสินค้า/บริการได้ งานทุกด้านของธุรกิจ ก็จะสะดุดหยุดลง หรือ อาจต้องปิดกิจการลง
3. ความสำคัญของการขายต่อสังคม
การขายมีส่วนทำให้สังคมมีสินค้า/บริการที่ทันสมัย มีความสะดวกสบาย มีการผลิตสินค้า/บริการเพื่อสนองความต้องการของบุคคล โดยพนักงานขายจะช่วยชี้แนะ หรือนำเสนอให้บุคคลตระหนักถึงคุณประโยชน์ของสินค้า เพราะการขายมีบทบาทในการสร้างสรรค์ บริการ ให้ความรู้ และสร้างความพึงพอใจ การขายจึงมีส่วนช่วยให้สังคมมีสินค้า/บริการใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกสบายของสมาชิกในสังคม
4. ความสำคัญของการขายต่อเศรษฐกิจ
การขายช่วยให้เศรษฐกิจทั้งในครัวเรือน และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศดีขึ้น เพราะการขายช่วยให้เกิดการผลิตและขยายไปถึงกิจการด้านต่างๆ เช่น การขนส่ง โฆษณา การเก็บรักษาสินค้า การหีบห่อ การประกันภัย เป็นต้น ทำให้บุคคลผู้เกี่ยวข้องมีรายได้ ในส่วนเศรษฐกิจโดยรวม การขายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศได้เปรียบ หรือ เสียเปรียบดุลการค้า ถ้าเป็นผู้ขายได้มากกว่าเป็นผู้ซื้อ ก็ทำให้ประเทศนั้นได้เปรียบดุลการค้าเศรษฐกิจก็ดีขึ้นและมั่นคง
5. ความสำคัญของการขายต่อกิจกรรมที่มิใช่ธุรกิจงานขาย
-งานด้านสังคม ในสังคมมีโครงการที่ดีถูกจัดขึ้นเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นมากมาย เช่น โครงการตาวิเศษ โครงการพิทักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ซึ่งต้องอาศัยศิลปะการขายเพื่อจูงใจบุคคลต่างๆ มาให้ความสนับสนุนทั้งด้านเงินทุน และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามโครงการนั้น
-งานด้านวัฒนธรรม ในกลุ่มสังคมหนึ่งๆ จะมีการส่งเสริมศิลปะ และวัฒนธรรมอันเป็นลัญลักษณ์ประจำกลุ่มสังคมนั้น ซึ่งต้องอาศัยศิลปะการขายเพื่อจูงใจบุคคลต่างๆ เช่นเดียวกับงานด้านสังคม
-งานขายกับงานการเมือง ในงานการเมืองต้องมีการจูงใจให้ผู้คนสนใจ รับทราบแนวนโยบายการทำงานของพรรค จึงต้องใช้ศิลปะการจูงใจ สร้างความเชื่อถือ โดยใช้การโฆษณาหาเสียง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการนำงานของการขายเข้ามาเกี่ยวข้อง
-งานขายกับงานองค์กรอื่นๆ ซึ่งองค์กรอื่นๆ ที่ทำงานโดยไม่หวังกำไร จะอยู่ได้โดยอาศัยความเชื่อถือ ศรัทธาจากบุคคลในสังคม บริจาคเงิน หรือสิ่งของอื่นอันเป็นประโยชน์ จึงต้องนำกระบวนการขายเข้ามาช่วย คือ การขายความเชื่อถือศรัทธาให้เกิดขึ้น

เฉลยแบบที่ 2. การขายมีความสำคัญต่อธุรกิจและการค้า ดังมีรายละเอียด คือ
1. สร้างรายได้: การขายเป็นช่องทางหลักในการสร้างรายได้สำหรับธุรกิจทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก, ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ ทั้งธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) และ B2C (Business-to-Consumer)
2. สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า: ผ่านการขาย, ธุรกิจสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งสามารถทำให้ลูกค้าซื้อครั้งต่อครั้ง และเป็นการแนะนำธุรกิจให้กับผู้อื่น
3. เข้าใจลูกค้า: ผ่านกระบวนการขาย, ธุรกิจสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้าและต้องการของลูกค้า ทำให้สามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ดีขึ้น
4. เพิ่มความมั่นคงของธุรกิจ: ธุรกิจที่มีการขายที่สำเร็จจะมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้น เพราะมีการกระจายความเสี่ยงอยู่ในหลากหลายลูกค้าและตลาด
5. รองรับการเติบโต: การขายที่สำเร็จอย่างต่อเนื่องสามารถสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์หรือบริการ, เข้าสู่ตลาดใหม่, หรือเพิ่มกำลังแรงงาน
6. ส่งเสริมภาพลักษณ์และชื่อเสียงของธุรกิจ: การขายที่ดีและมีความคุณภาพสามารถช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและชื่อเสียงที่แข็งแกร่งสำหรับธุรกิจ

17. การวางแผนด้านการตลาด stp ประกอบด้วย ขั้นตอนใดบ้าง

เฉลยแบบที่ 1. การวางแผนด้านการตลาด stp คือ กระบวนการหรือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในตลาดให้ได้กลุ่มที่เหมาะสมกับสินค้าหรือบริการของคุณมากที่สุด ซึ่ง STP ประกอบไปด้วย 3 สิ่งคือ

Segmentation การแบ่งส่วนตลาด
เช่น Demographics แบ่งกลุ่มตามข้อมูลประชากร : ช่วงอายุ, เพศ, รายได้, อาชีพ, สถานภาพ, หรือศาสนา เป็นต้น‍
Geographic แบ่งกลุ่มตามหลักภูมิศาสตร์ : เขต, จังหวัด, ภาค, ประเทศ เป็นต้น
‍Behavioral แบ่งตามพฤติกรรม : ประเภทสินค้าที่ซื้อ, จำนวนครั้งที่ซื้อ, ยอดเงินที่ซื้อ, ช่วงเวลาที่ซื้อ เป็นต้น
Psychographics แบ่งตามจิตวิทยา
Targeting การเลือกตลาดเป้าหมาย
แบ่งกลุ่มแล้ว ขั้นตอนนี้เราจะมาทำการเลือกกลุ่มที่ดีที่สุดในการทำการตลาดกับสินค้าที่คุณได้เตรียมไว้แล้ว โดยการให้คะแนนแต่ละปัจจัยของแต่ละกลุ่มที่ส่งผลต่อการทำรายได้และกำไรเมื่อลงไปทำการตลาดจริง หลังจากนั้นก็นำคะแนนมารวมเพื่อหากลุ่มที่เหมาะสมที่สุดในการทำการตลาดต่อไป
Positioning วิเคราะห์จุดยืนของสินค้า
ให้แน่ใจว่าอะไรคือสิ่งที่คุณทำได้ดีกว่าคู่แข่ง แล้วกลุ่มลูกค้าที่คุณพยายามจะไปทำตลาดนั้น ให้คุณค่ากับสิ่งที่คุณกำลังจะเสนอหรือไม่ ตัวอย่างสิ่งที่สามารถแต่กต่าง เช่น ดีกว่าอย่างไร, ถูกกว่าอย่างไร, เร็วกว่าอย่างไร เป็นต้น

เฉลยแบบที่ 2. การวางแผนด้านการตลาดในแนวคิด “STP” ประกอบด้วยขั้นตอนสามขั้นตอนหลัก ดังนี้

Segmentation (การแบ่งส่วนตลาด): เป็นขั้นตอนในการแบ่งตลาดเป็นกลุ่มย่อยๆ ตามความต้องการ, พฤติกรรม, ข้อมูลทางด้านพฤติกรรมซื้อของ, ข้อมูลทางด้านประชากรศาสตร์, หรือตามความเป็นไปได้ของตลาดที่สามารถให้บริการได้. การแบ่งส่วนตลาดนี้จะช่วยในการระบุกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและความสนใจที่คล้ายกัน

Targeting (การกำหนดเป้าหมายตลาด): หลังจากที่แบ่งส่วนตลาดแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่องค์กรจะมุ่งเน้นที่จะประสบความสำเร็จในการเข้าถึงและบริการ. ในขั้นตอนนี้, องค์กรจะพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ขนาดของตลาด, ศักยภาพในการเติบโต, ความแข็งแกร่งของคู่แข่ง, และรีซอร์สหรือทรัพยากรที่องค์กรมี เพื่อเลือกเป้าหมายตลาดที่มีโอกาสสูงสุดในการประสบความสำเร็จ

Positioning (การวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการ): หลังจากการกำหนดเป้าหมายตลาดแล้ว, องค์กรจะต้องกำหนดวิธีการในการวางตำแหน่งสินค้าหรือบริการของตนเองในตลาด. การวางตำแหน่งนี้คือการสร้างความรู้สึก, ความคิดเห็น, หรือการรับรู้ต่อสินค้าหรือบริการในใจของกลุ่มเป้าหมาย.

การทำ STP อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถมุ่งเน้นไปที่กลุ่มลูกค้าที่เหมาะสมและสามารถสร้างข้อเสนอที่เข้ากับความต้องการของกลุ่มลูกค้านั้นได้เป็นอย่างดี

 

 

จาก “แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย” ทั้งหมดนี้ เป็นหัวใจสำคัญของการทำธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ การทำความเข้าใจและปรับใช้แบบทดสอบนี้ในการทำธุรกิจของคุณจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง คุณสามารถร่วมแสดงความคิดเห็นกับบทความ ” แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย [ อัพเดทใหม่ ล่าสุด ] รวมข้อสอบการตลาดพร้อมเฉลย ” นี้ ด้วยการคอมเม้นต์ไว้ด้านล่าง หรือ ทักไลน์มาคุยกันได้ที่ @brandingchamp

 

แบบทดสอบ การตลาด เฉลย
แบบทดสอบ การตลาด เฉลย

One Reply to “แบบทดสอบการตลาดพร้อมเฉลย [ อัพเดทใหม่ ล่าสุด ] รวมข้อสอบการตลาดพร้อมเฉลย”

  1. คำถามว่า ;

    การเสนอขายโดยใช้ศิลปะการขายและการสาธิต ช่วยให้เกิดผลอย่างไร
    การเสนอขายโดยใช้ศิลปะการขายและการสาธิตที่มีประสิทธิภาพช่วยให้เกิดผลอย่างไร
    การเสนอขายโดยใช้ศิลปะการขายและการสาธิตที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้เกิดผลอย่างไร

    ใน ข้อที่ 8. ด้านบนนี้ เป็นคำถามที่ถูกค้นหาคำตอบมาที่สุดในบทความชุดนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *