ภาวะ ผู้นำ และ การเป็นผู้นำที่ดี เรียนรู้จาก Jacinda Ardern ผู้นำอันดับ 1 ในช่วงวิกฤต

ภาวะ ผู้นำ และ การเป็นผู้นำที่ดี เรียนรู้จาก jacinda ardern ผู้นำอันดับ 1 ในช่วงวิกฤต

ภาวะ ผู้นำ

ภาวะ ผู้นำ และ การเป็นผู้นำที่ดี เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ประเทศนิวซีแลนด์ อาจจะเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพที่สุดในโลกนี้ก็เป็นได้ จาซินด้า อาร์เดิร์น – Jacinda Ardern – สไตล์ภาวะผู้นำของเธอผู้นี้ โฟกัสไปที่ ความเข้าอกเข้าใจ และมันไม่ใช่เพียงแต่จะ เข้ากันได้ดีกับประชาชนของเธอ แต่มันยังทำให้ประเทศ ไปได้อย่างถูกทิศทางและประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับวิกฤตไวรัสโคโรน่า

 

*** ภาวะ ผู้นำ คือ ความสามารถของบุคคล หรือ องค์กร ในการนำ, พา ผู้ตาม หรือ บุคคลากรในองค์กร ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ภาวะ ผู้นำ มาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ Leadership หมายถึง การนำพาชักจูงผู้ตามไปสู่เป้าหมาย นี่คือสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความสำเร็จของคนเป็นผู้นำ มีความสามารถในการตัดสินใจที่ดี และสื่อสารได้ชัดเจน ภาวะผู้นำเป็นเรื่องของทุกคน ทุกตำแหน่งหน้าที่การงาน ที่สามารถสร้างให้เกิดและพัฒนาได้ ภาวะผู้นำเป็นหัวข้อที่ ได้รับความสนใจ มีการศึกษากันมายาวนาน เพื่อที่จะนำหลักการมาช่วยให้บุคคลมีความสามารถในการนำพาและเกิดการผู้นำที่ดี มีประสิทธิภาพ

 

 

ระหว่างการระบาดของ ไวรัสโคโรน่า นี่อาจจะเป็น บททดสอบที่ยิ่งใหญ่ของความเป็นผู้นำ ด้านการเมืองที่โลกทั้งโลก จับตามองอยู่ ผู้นำทุกคนในโลก ณ ขณะนี้ กำลังเผชิญปัญหาในลักษณะเดียวกันและเป็นความคุกคาม ที่สำคัญยิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ผู้นำแต่ละคนมีการตอบสนองกับเหตุการณ์นี้ในรูปแบบที่แตกต่างกัน และผู้นำทุกคน มีประชาชนเป็นผู้จับตามองและตัดสินกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ในขณะนี้

 

ผู้นำหลายคนในโลก มีสื่อสารกับประชาชนในประเทศ เช่น การออกมาแถลงการณ์รายวัน ผู้นำบางคนชี้แจง ถึงเหตุการณ์ วิธีการแก้ปัญหา และ อื่นๆในรูปแบบของ ที่ประชาชนเรียกว่าเหมือนดูละครปาหี่หรือ ดูตลก ในขณะที่ผู้นำบางคนไม่มีการสื่อสาร หรือ แถลงการณ์ใดๆเลย ตลอดช่วงเวลาที่ จับประชาชน เก็บตัวอยู่กับบ้านหรือที่เรียกว่าล็อคดาวน์

 

แต่สำหรับ เธอ จาซินด้า อาร์เดิร์น ด้วยวัยเพียง 39 ปี และ ยังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศนิวซีแลนด์

 

ด้วยการไต่เต้าขึ้นมาตำแหน่งนี้มีเรื่องราวน่าสนใจ แต่ หนึ่งในรูปแบบ ภาวะการเป็นผู้นำของเธอ คือ การแสดงความเห็นใจและเข้าอกเข้าใจในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ ที่เธอมีต่อประชาชนของเธอ ข้อความที่เธอใช้ในการสื่อสาร เจนและมีความต่อเนื่องสม่ำเสมอ และในบางครั้ง มันยังเต็มไปด้วยความสุขุมลุ่มลึกพร้อมกับอ่อนโยนในเวลาเดียวกัน

 

ด้วยการแสดงออกของเธอในลักษณะนี้ มันไม่เพียงแค่สามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงกับประชาชนของเธอได้ในระดับอารมณ์และความรู้สึก แต่มันยังส่งผลให้ การสื่อสารยิ่งมีประสิทธิภาพมาก อย่างเห็นได้ชัด

 

ประชาชนในประเทศนิวซีแลนด์มีความรู้สึกต่อ อาร์เดิร์น ด้วยความรู้สึกที่ว่า เธอไม่ได้เป็นคนออกมาสั่งการหรือมาสั่งสอนใครต่อใคร แต่เธอเป็นคนที่ยืนเคียงข้างพวกเขาต่างหากนี่คือคำพูดจาก อดีตนายกรัฐมนตรีของนิวซีแลนด์ท่านหนึ่ง ฮาเลน คลาร์ก – Helen Clark – ดำรงตำแหน่งปี 1999 – 2008

 

ประชาชนส่วนใหญ่ยังบอกอีกว่า พวกเขาคิดว่า เขาไม่รู้และไม่เข้าใจหรอกว่า รัฐบาลกำลังพยายามทำอะไรลงไปแต่ รู้ว่า อาร์เดิร์น พร้อมที่จะช่วยพวกเขาอยู่เสมอ

 

เธอคือนักสื่อสาร ที่ไม่ได้แม้แต่จะมีปริญญา เกี่ยวกับ เรื่องของการสื่อสารใดๆเลย

 

ช่วงเหตุการณ์วิกฤตในครั้งนี้ มันสามารถ สร้างผู้นำ หรือแม้กระทั่ง ทำลายผู้นำ ลงได้ และเหตุการณ์นี้ก็ได้สร้างผู้นำที่ยิ่งใหญ่ ที่ชื่อ จาซินด้า อาร์เดิร์น – Jacinda Ardern

 

และ สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นนวัตกรรมของ อาร์เดิร์น เลยทีเดียว (และเธอทำมันบ่อยครั้งในช่วงนี้) นั่นคือ การใช้ Facebook Live หรือ การไลฟ์สด ในการบริหารจัดการ การสื่อสารและจัดการการนำเสนอข้อมูล

 

ในระหว่างช่วงที่มีการ ประกาศภาวะวิกฤต ในช่วง ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพียงเพื่อให้ประชาชนชาวนิวซีแลนด์ได้เตรียมตัว และ ปฏิบัติตัวก่อนการล็อคดาวน์ เธอ ปรากฏกายขึ้นใน ชุดเสื้อกันหนาวแบบสวมใส่สบาย ในบ้านของเธอ แถมเธอยังบอกว่า เพิ่งจะพาลูกสาววัยทารกของเธอเข้านอนด้วย เธอออกมาเพื่อที่จะ อธิบายและแนะนำ วิธีการเตรียมตัว กับเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิด ในขณะที่ ผู้ชมส่วนใหญ่ ก็เตรียมพร้อมนั่งรอชมสิ่งที่เธอจะพูด

 

 

เธอแสดงความสงสารและเป็นห่วงเป็นใย พร้อมด้วยการ ส่งสัญญาณเตือนที่เหมือนกับ การบีบแตรเพื่อเปิดตัวสถานการณ์ เป็นเหมือนกับสัญญาณฉุกเฉินที่สื่อสารออกมาให้กับประชาชนชาวนิวซีแลนด์ เพื่อให้เข้าใจถึงความสำคัญของวิกฤตครั้งนี้ สิ่งที่เธอจะ คือ ชีวิตประจำวันของทุกคน จะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

 

นอกจากนั้น เธอยังแนะนำ วิธีที่เป็นประโยชน์ เช่น ให้นึกถึงคนรอบๆข้างของคุณ และ เว้นระยะห่างให้เหมือนกับมีฟองน้ำ (Bubble) ครอบคลุมตัวคุณอยู่ และให้มีพฤติกรรมในการเว้นระยะห่าง จากคนอื่นๆในช่วงโควิด19 นี้ ให้เห็นภาพว่า ทุกคนที่ไม่ใช่ตัวคุณเองจะต้องอยู่นอกฟองน้ำนี้ เพื่อป้องกันความเสี่ยง

 

เธอชี้แจงนโยบายที่ค่อนข้างรุนแรง ให้ออกมา เป็นเรื่องที่ฟังเข้าใจง่ายและสามารถนำไปปฏิบัติได้ ตัวอย่าง เช่น ประชาชนควรจะต้องอยู่กับที่ เพราะว่าการขับรถออกไป ข้างนอกอาจจะเกิด เหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่าง การขับรถระยะทางไกลแล้วรถยนต์เกิดเสียขึ้นมาระหว่างทาง

 

เธอบอก เธอรู้ว่าพ่อแม่ผู้ปกครอง ก็อยากที่จะพาลูกหลานไปเที่ยวเล่นข้างนอก สวนสาธารณะ สนามเด็กเล่นบ้าง แต่ คุณต้องรู้ว่า ไวรัสสามารถมีชีวิตอยู่บนวัตถุสิ่งของได้ ยาวนานถึง 72 ชั่วโมง และเธอคาดหวังว่า การล็อคดาว หรือ ปิดประเทศ ครั้งนี้ คงไม่ยาวนานไปมากกว่า 2-3 สัปดาห์ อาร์เดิร์นพูดไว้แม้ว่าในขณะนั้น กราฟของ ผู้ติดเชื้อในประเทศจากกำลังสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ด้วยพฤติกรรมของเจ้า ไวรัสโคโรน่า เราอาจจะไม่เห็น ประโยชน์หรือข้อดีใดๆเลย ในการเก็บตัวและห่างไกลจากสังคม แต่ อย่าท้อที่จะทำมัน เธอพูดไว้เช่นนั้น

 

นอกจากนั้น ในช่วงหลังๆของ การไลฟ์สด ผ่าน facebook ของเธอ มีบรรยากาศของ ทีมงานและผู้ติดตามของเธอเดินเข้ามาในห้องทำงานของเธออยู่เป็นระยะ ระหว่างที่เธอพยายามอธิบายรายละเอียด เพื่อบอกว่า ชีวิตประจำวันของเธอ ในการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ ก็ยังสามารถทำได้ง่าย ในช่วงที่มีการล็อคดาว

 

เธอยังมีการเรียกชื่อหรือพูดคุยกับคนที่เข้ามาคอมเม้นในไลฟ์ (facebook live) ของเธอด้วย เช่น มีครั้งหนึ่ง ทีมงานของเธอ ที่ชื่อ รีลอยด์เข้ามาในไลฟ์สด เธอก็ตะโกนเรียกชื่อเขาทันที 

 

ของเล่นเด็กๆ หลายอย่าง ยังปรากฏขึ้นให้ได้เห็นกันอยู่หลังโต๊ะทำงานของเธอ ด้วยบรรยากาศ ในลักษณะนี้ ทำให้ผู้คนได้รับอารมณ์ความรู้สึกของความเชื่อมโยงและเข้าถึงได้ง่ายผ่านชีวิตประจำวันและการทำงานของเธอที่ผสานรวมกันอยู่ตลอดเวลา

 

อาร์เดิร์น มีการถูกสัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้ง ทั้งในรูปแบบ เป็นทางการ และ ไม่เป็นทางการ เกือบทุกๆวันของเธอ จากเจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือ นักข่าว เธอสามารถแสดงให้เห็นความเป็นตัวตนของเธอผ่านคำพูดที่กินใจในหลายๆครั้ง เช่น การกล่าวถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ว่า “ทรัมป์ก็มีวิธีในการสื่อสาร แต่มันเป็นคนละเรื่องกับที่เธอพยายามจะทำ”

 

มีการสังเกตว่า ไม่มีโอกาสไหนเลยที่ จาซินด้า ผู้ นี้เธอจะตอบสนองต่อนักข่าวหรือผู้สัมภาษณ์ที่ตั้งคำถามด้วยการโจมตี กลับไปด้วยถ้อยคำรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นคำถามใดๆ

 

ในทางกลับกัน ผู้นำบางประเทศมีการพูดโจมตีเพื่อตอบโต้กับนักข่าวอยู่เสมอเสมอ

 

ถึงขนาดที่ว่า มีครั้งหนึ่ง นักข่าวลืมคำถามที่พยายามจะถามในขณะสัมภาษณ์ อาร์เดิร์น ยังเล่นมุกตลก ไปที่นักข่าวคนนี้ โดยบอกว่า “สงสัยคุณจะนอนมาไม่พอนะ”

 

เธอจะไม่พยายามให้ข้อมูลมั่วๆ เธอจะไม่ตำหนิทีมงาน และ เธอจะใช้ความพยายามของเธอในการบริหารจัดการความคาดหวังของผู้คน ซึ่งในขณะเดียวกันเธอก็พยายามจะเน้นย้ำสิ่งนี้อยู่เสมอ

 

ผู้เชี่ยวชาญบางคนกล่าวถึงเธอว่า เธอมีลักษณะนิสัยในการใช้ ธรรมะเพื่อชนะอธรรม (หรือ จงดีกับผู้อื่นอยู่เสมอ) นี่คือ สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่หลายคนไม่รู้ตัวว่า ทำไม อาร์เดิร์น ถึงเข้ามาเป็นหนึ่งในใจของพวกเขาได้

 

ภาวะผู้นำ และ การเป็นผู้นำที่ดี ของ อาร์เดิร์น น่าสนใจและสามารถเป็นแบบอย่างให้กับ ผู้นำของโลก

 

ไม่ใช่เพราะ ท่าทีและรูปแบบที่ออกมาพร้อมกับเสื้อสวมใส่สบายความไม่เป็นทางการแล้วพูดคุยกับคนเป็นล้านๆ ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ นั่นไม่ใช่เหตุผล เพราะสิ่งที่เธอพยายามนำเสนอ คือ ความจริงที่ถูกสื่อสารออกไปควบคู่ไปกับนโยบายและความเป็นไปได้ และมันก็ได้ปรากฎเป็นผลลัพธ์ที่แสดงให้เห็นแล้วในระดับโลก

 

ตั้งแต่เดือนมีนาคม ประเทศนิวซีแลนด์ไม่ได้เป็นเพียงประเทศเดียว ที่มีเป้าหมายของชาติ ในการทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันลดลง หรือ ที่เรียกว่า flatten the curve ประเทศโดยส่วนใหญ่ก็มีการ มีความมุ่งหมายที่จะทำเช่นนั้น พร้อมกันกับมีความพยายามที่จะ กำจัดไวรัส ไปด้วย

 

และนี่ยังคง เป็นเรื่องราวที่มีความต่อเนื่องเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ การทดสอบผู้ป่วยติดเชื้อมีดำเนินการอยู่ทุกวัน ระบบสาธารณสุขในนิวซีแลนด์ยังไม่ถึงลิมิต แต่ก็มี อัตราผู้ติดเชื้อสูงขึ้นในช่วงเมษายน มีประชาชน 12 คน ตายจากโรคนี้ เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของประเทศ ที่มีอยู่ประมาณ 5 ล้านคน

 

ด้วยความเหมาะสมทางกายภาพที่ประเทศมีลักษณะเป็นเกาะ รวมถึง อยู่มาทางด้านล่างของแปซิฟิกตอนใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ จึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการ ควบคุมการกระจายตัวของไวรัส

 

เธอกล่าวว่า “เหตุที่เรามีเพียงผู้ติดเชื้อไม่กี่เคสที่ควรจะสามารถจำกัดขอบเขตได้ง่าย ดังนั้นเราจะต้องทำมันให้สำเร็จให้ได้”

 

กลยุทธ์ในการทำงานรวมถึง การวางแผนในเหตุการณ์ครั้งนี้สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยม โดยไม่มีข้อสงสัย มีการจำกัดการเดินทางเข้าประเทศ (ที่เป็นกลยุทธ์สืบเนื่องจากการเฝ้ามอง ผู้ติดเชื้อที่เกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ) ที่มาจากชาวต่างชาติหรือคนที่เดินทางข้ามประเทศนั่นเอง

 

รัฐบาลของ อาร์เดิร์น ตัดสินใจได้อย่างเฉียบขาดในเวลาที่ถูกต้อง

 

ประเทศนิวซีแลนด์ประกาศภาวะวิกฤตและปิดประเทศแต่เนิ่นๆ ก่อนที่จะมีการระบาดอย่างรุนแรงในประเทศอื่นๆเสียด้วยซ้ำ มีการแบนนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ก่อนที่จะเจอกับ ผู้ติดเชื้อรายแรกเสียอีก

 

และในกลางเดือนมีนาคม มีการตัดการเข้าออกทั้งหมดของประเทศ โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ไม่ใช่คนในนิวซีแลนด์ ซึ่งขณะนั้นก็สามารถควบคุมผู้ติดเชื้อไว้ได้เป็นอย่างดีเยี่ยมแล้ว

 

นักวิชาการหลายคนกล่าวถึง การตัดสินใจของนางและรัฐบาลว่าการประกาศตัวว่าเข้าสู่ในระยะ 4 ตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เป็นการโต้ตอบกับวิกฤตที่เกิดขึ้นได้อย่างดีเยี่ยม เป็นการเตรียมความพร้อมในด้านจิตวิทยา เพื่อให้ผู้คนได้มีความตระหนักสูงสุด

 

และรูปแบบที่เกิดขึ้นนี้ แตกต่างจากประเทศอื่นๆ ที่ เริ่มมีวิกฤตเกิดขึ้นและรุนแรงขึ้นตามลำดับ

 

แน่นอนว่าความสำเร็จที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ใช่เพราะตัวของ อาร์เดิร์น เพียงคนเดียว แต่เกิดเนื่องจากความร่วมมือกันในหลายภาคส่วน ทั้ง สาธารณสุข สถาบันทางการแพทย์ นักการเมือง รวมถึง ประชาชนในประเทศทั้งหมด ที่ให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติตัวรักษาระยะห่าง รวมทั้ง การทำ Social distancing

 

และผลจากการร่วมมือทั้งหมดนี้ อาจจะ ทำให้เห็นผลในเร็ววันนี้เพราะแม้ว่ารัฐบาลจะมีการประกาศและออกคำสั่งให้ปิดตัวในหลายธุรกิจ แต่ก็มีการ กระตุ้นทางเศรษฐกิจ รวมถึง มีการประเมินและวัดผลอยู่เป็นระยะโดยหน่วยงานสาธารณสุข นักการเมือง และ เจ้าหน้าที่ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วการ ผ่อนปรน มาตรการเหล่านี้ในประเทศนิวซีแลนด์ อาจจะเกิดขึ้น ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้

 

แต่กระนั้น ก็มีการกล่าวหาว่า รัฐบาลของนาง อาร์เดิร์น มีการ ปฏิบัติหน้าที่ ที่เรียกว่า ทำเกินกว่าเหตุ เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับ ประเทศออสเตรเลีย ที่สามารถลดจำนวนของผู้ติดเชื้อลงได้โดยไม่มีการปิดประเทศขั้นสูงสุดเหมือนที่นิวซีแลนด์ทำ

 

การกระทำของ อาร์เดิร์น ถูกเปรียบเทียบว่าคล้ายคลึงกับสิ่งที่ บารัค โอบามา เคยให้สัมภาษณ์ไว้ คือ เธอยอมที่จะ ให้ประเทศเป็นอัมพาต ดีกว่าโด่งดังเป็นอันดับ 1 ของ ผู้ติดเชื้อสูงสุดในโลก

 

ความตั้งใจของเธอไม่มีอะไรมากไปกว่า การนำพาของประเทศให้รอดวิกฤตนี้ไปได้

 

และมาถึงในขณะนี้ ได้มีการทำโพลโดยบริษัทสำรวจทางการตลาด ออกมาในช่วงต้นของเดือนเมษายน พบว่า 88% ของชาวนิวซีแลนด์เชื่อว่ารัฐบาลนี้ตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับ สถานการณ์วิกฤตโควิด19 และ 84% ยอมรับวิธีที่รัฐบาลตอบกับโรคระบาดนี้ โดยเปอร์เซ็นต์ของโพลนี้ เมื่อนำไปถูกเปรียบเทียบกับ รัฐบาลทั่วโลกแล้ว มีคะแนนนำโด่ง

 

ประชากรชาวนิวซีแลนด์ให้การสนับสนุนนโยบายต่างๆของทางภาครัฐ โดยคิดว่า แม้มันจะมีความเจ็บปวดรวดร้าวในทางเศรษฐกิจและการทำมาหากิน แต่มันก็จะเกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ พูดง่ายๆคือ เจ็บแต่จบ

 

นักวิชาการ ส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า นาง อาร์เดิร์น เป็นหนึ่งในหลายๆคน ของผู้นำในกลุ่มประเทศยุโรปที่มีอายุน้อย แต่สามารถนำพาประเทศให้ผ่านพ้น วิกฤต ไวรัสโคโรน่า ไปได้อย่างชาญฉลาด

 

แต่สิ่งที่จะต้องมองกันต่อไปในระยะยาว นั้น คือ ผู้นำรุ่นใหม่ เหล่านี้ จะสามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤตที่จะเกิดขึ้นต่อจาก วิกฤตโรคระบาด นั่นก็คือ วิกฤตทางเศรษฐกิจ ได้อย่างไรต่อไป

 

การตัดสินใจและกลยุทธ์การบริหารประเทศ มันเป็นคนละเรื่องกับ การตัดสินใจในภาวะวิกฤต

 

แน่นอนโลกจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปและเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะเลวร้ายและรุนแรง หลังจากนี้ในอีกหลายปีข้างหน้า บางคนเรียกว่ามันอาจเกิด Great depression หรือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง

 

ในประเทศจีนด้วยความเป็นประเทศเผด็จการสังคมนิยม พวกเขาจึงใช้โอกาสนี้ ในการเปลี่ยนให้โรคระบาด เกิดการรวมศูนย์ของข้อมูลและสังคมไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ด้วยอำนาจรัฐ ในขณะที่ ประเทศในรูปแบบการปกครองอื่นๆ ไม่สามารถทำได้

 

การก้าวผ่านวิกฤต ครั้งนี้ไปได้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น ของการก้าวเข้าสู่โลกใบใหม่ที่จะเกิดขึ้น ต่อไปหลังจากนี้ ไปอีกนานแสนนาน

 

ขอบคุณบทความจาก ยูริ ไฟร์ดแมน – URI FRIEDMAN – ผู้เขียนจาก The Atlantic

 

สามารถร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในหัวข้อ ” ภาวะ ผู้นำ และ การเป็นผู้นำที่ดี เรียนรู้จาก จาซินด้า อาร์เดิร์น ผู้นำอันดับ 1 ในช่วงวิกฤต ” ด้วยการคอมเม้นไว้ด้านล่างนี้ หรือ ทักมาคุยกันได้ที่ Line ID: @brandingchamp

 

ภาวะผู้นำ Jacinda Ardern
ภาวะผู้นำ Jacinda Ardern

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *