กลยุทธ์การตลาด e-Commerce ตลาดปราบเซียน “ความลับ” ที่คุณไม่เคย..รู้
กลยุทธ์การตลาด e-Commerce ตลาดปราบเซียน
“ความลับ” ที่คุณไม่เคย..รู้
กลยุทธ์การตลาด E-commerce
กลยุทธ์การตลาด E-commerce ก่อนอื่น คุณรู้หรือไม่? คนไทยใช้งาน เฟสบุ๊ก 34 ล้านคน และในจำนวนนี้ 94 เปอร์เซ็นใช้งานผ่านมือถือ ก่อนจะที่มีการซื้อสินค้า ผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนั้นหาก ถ้าอยากสร้างรายได้ในการขายสินค้าผ่านช่องทาง e-Commerce จำจะต้องมี กลยุทธ์การตลาด ที่สามารถเอาชนะใจผู้บริโภคให้ได้

ล่าสุด บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลก รักคนไทยมากกก รวมตัวกันมาเปิด e-commerce เว็บไซต์และแพลตฟอร์มเพื่อดูดเงินนักช้อปไทย กันอย่างสนุกสนาน
นี่คือรวมไปถึง แบรนด์ดังในไทยเองก็ระดมทุนหนุน อีคอมเมิร์ซกันอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเราจะกระโจนเข้าสู่ตลาดนี้บ้างล่ะ กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ แบบไหนที่จะนำพา sme และ ผู้ประกอบการ ให้แชร์ส่วนแบ่งการตลาดกับเขาได้บ้าง
ก่อนจะไปถึงการ ไข ความลับ เพื่อทำให้การ ขายของออนไลน์ ผ่านรูปแบบ อีคอมเมิร์ซ ในประเทศไทยที่เรียกว่าเป็นอันดับต้นๆที่ปราบเซียนกันมาเยอะแล้ว
มาลองดูกันก่อนว่า ล่าสุดเกิดอะไรขึ้น หรือ มีอะไรใหม่ๆ เกี่ยวกับการขายของผ่านช่องทางออนไลน์แบบนี้
มียักษ์ใหญ่ จากนอกประเทศเข้ามา เช่น Alibaba จากจีนเข้ามาควบ Lazada แล้ว ส่วน JD พี่บิ๊กจากจีนอีกเจ้าจับมือกับ เซ็นทรัล เปิดเป็น jd.co.th นอกจากนั้นก็มี 11Street , Shopee และอีกหลากหลายพื่นที่ขายของบนโลกอินเตอร์เน็ต แต่ยังไม่ได้หมดแค่นั้น
Facebook เองที่เป็น โซเชี่ยลมีเดีย ก็เปิดช่องทาง e-commerce ให้คนทั่วไปเข้ามาเป็นพ่อค้า แม่ค้าออนไลน์กันได้ง่ายๆ และนักช้อปออนไลน์ก็เข้าไปซื้อของง่ายๆผ่านแอพฯ เฟสบุ๊ค ที่คนไทยส่วนใหญ่มีไว้ติดมือถือกันเกือบทุกคน
สิ่งนี้เรียกว่า Facebook Marketplace ถ้านึกไม่ออกว่ามันคืออะไร ลองเข้าไปที่แอพฯ เฟสบุ๊คของคุณแล้วหาไอค่ออน ที่เป็นรูป บ้าน (คล้ายๆ หน้าร้านค้า)

เท่านั้นยังไม่พอ! ล่าสุด Google ประเทศไทยเปิดตัวให้นักโฆษณา นำของเข้ามาขายผ่าน google shopping โดยใช้ระบบหลังบ้านในการจัดการที่เรียกว่า Google Merchant Center ถ้าอยากรู้ว่าหน้าตาที่ google ขายของออนไลน์เป็นแบบไหน
ลองค้นหา สินค้า ดังๆ อย่างเช่น รองเท้า NIKE หรือ กระเป๋า FILA แล้วคุณจะได้เห็นว่า ผลลัพธ์ที่กูเกิลเอามาแสดงให้คุณดูเป็นอันดับแรกๆ คือ สินค้า นั้นๆเลย (ตอนนี้ มีแต่แบรนด์ใหญ่ๆ ที่ลงทุนทำโฆษณาแบบนี้)

เอาล่ะ ที่นี้มาลองหาทางออกในการขายของออนไลน์ สำหรับ ผู้ประกอบการรายเล็กๆ หรือ พ่อค้า แม่ค้า ออนไลน์ ว่าจะมี กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่จะช่วยเราได้บ้าง มาดูความลับ นี้กัน
ความลับ กลยุทธ์การตลาด Ecommerce
1. อีคอมเมิร์ซ ดัง ขาดทุนเกิน 100 ล้าน
ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ (ดูได้ใน slide ด้านล่างนี้ ใน หน้า 10) เผยว่า ไม่ว่าจะเป็น Lazada , Shopee หรือ 11Street ต่างขาดทุนกันถ้วนหน้า และมากไปกว่านั้น แต่ละยีห้อ ขาดทุน ในหลัก ร้อยล้าน ขึ้นไปทั้งสิ้น ความลับ นี้จริงๆ เป็นสิ่งที่เปิดเผยอย่างโปร่งใสผ่านข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์
แต่เราอาจจะไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการขาดทุนนี้ เท่ากับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้า และ การทำโฆษณา ออกโปรโมชั่น ต่างๆ ในหลากหลายอีเว้นท์ ที่สนับสนุนให้คนไทย หันมา ช้อปปิ้งออนไลน์
สิ่งนี้เรียกว่าการลงทุนเพื่อ ให้ความรู้ (Educate) คนไทย ให้ใช้ อีคอมเมิร์ซ ให้เคยชิน รู้จักการซื้อขายออนไลน์จนการเป็นชีวิตประจำวัน หลังจากนั้น พวกเขาก็เข้าจะครองตลาดและเริ่มทำกำไรได้ในที่สุด

2. อีคอมเมิร์ซ ของ รีเทลช้อป หรือ ห้างค้าปลีก, ค้าส่ง สร้างรายได้น้อย
ข้อมูลนี้ได้จาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) เผยว่า ธุรกิจ Retail เช่น เทสโก้ บิ๊กซี ท้อปส์ เซเว่น เหล่านี้ มีรายได้จาก อีคอมเมิร์ซ หรือ การขายสินค้าในช่องทางออนไลน์ เพียง 1% ของรายได้ของธุรกิจ (ดูได้ใน slide ด้านล่างนี้ ใน หน้า 11)
ความลับ นี้ทำให้เห็นได้ว่า ร้านรวงเหล่านี้ ไม่ได้ให้ความสำคัญกับธุรกิจผ่านช่องทางออนไลน์นี้ เท่ากับหน้าร้านของตน จึงเรียกว่ามี E-commerce เพื่อใช้เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเข้าถึงลูกค้านั่นเอง
จะเห็นได้ชัดว่า อีคอมเมิร์ซของร้านต่างๆเหล่านี้จะไม่มีการโปรโมท โฆษณา หรือ ทำโปรโมชั่น แบบเข้าถึงคนหมู่มากให้ได้เห็นเลย
3. อีคอมเมิร์ซไทย ยังเข้าถึง นักช้อปไทย น้อย
ความลับของ กลยุทธ์การตลาด E-commerce นี้ เผยให้เห็นว่า จำนวนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต ผู้ใช้งานโซเชี่ยลมีเดีย ต่างๆ ของไทยเรา มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (ดูได้ใน slide ด้านล่างนี้ ใน หน้า 17)
สิ่งนี้คือ อีก หนึ่ง ความลับ ที่หลายคนมองข้าม ยังมีนักช้อปปิ้งออนไลน์อีกมากมายที่ยังมองหาสินค้าที่ตอบโจทย์พวกเขาอยู่ และ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อแบบไหนก็ตาม เค้าพร้อมจ่ายเพื่อให้ได้สินค้าที่เค้าต้องการ
แต่ปัจจุบัน มีแต่ เจ้าใหญ่ๆ ค่ายบิ๊กๆ ที่ครองตลาดอยู่ แต่มันไม่ได้หมายความว่าบนอีคอมเมิร์ซของพวกเค้า จะตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกคนทุกรูปแบบ
สรุป คือ ลูกค้า ในปัจจุบัน ไม่ติดเพลตฟอร์ม ไม่เลือก ยี่ห้อ หรือ แบรนด์ ไม่ว่าจะแค่โพสต์ขายในเฟสส่วนตัว หรือ ส่งไลน์ ถ้าลูกค้าอยากได้ พวกเขาพร้อมจ่ายเงินทันที ไม่เข้าไปในเว็บอีคอมเมิร์ซให้เสียเวลา
สังเกตุได้ว่า คนไทยจะซื้อของการง่ายแค่การโอนเงินผ่านตู้ ATM หรือ ผ่านแอฟฯ ของธนาคาร หรือ ทรู วอลเล็ท ก็เป็นอันใช้ได้ ซึ่งหากเป็นชาวต่างชาติจะมองว่าเป็นการเสี่ยงอยากมากที่โอนเงินก่อนได้รับสินค้า
จึงมักจะนิยมใช้บัตรเครดิต เพราะสามารถสั่งอายัติ หรือ ยกเลิก Transaction ได้
หลังจากรู้ความลับเหล่านี้แล้ว เราลองมาดูกันว่า เมื่อ ผู้ประกอบการ SME จะกระโดดเข้ามาร่วมวง ขายของออนไลน์แบบอีคอมเมิร์ซนี้ จะต้องมีความพร้อม และ วางกลยุทธ์ อะไรบ้าง
5 กลยุทธ์การตลาด E-commerce สำหรับ แม่ค้า พ่อค้า ออนไลน์ และ ผู้ประกอบการ SME
1. เลือกตอบโจทย์ลูกค้า กลุ่ม Niche Market
จริงๆแล้ว เรื่องกลุ่มเป้าหมาย คุณควรทำมันเป็นอย่างแรกตั้งแต่ก่อนจะเริ่มธุรกิจแล้ว เพราะคุณจะต้องตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายของคุณให้ถูกต้อง และที่สำคัญตามหัวข้อ คือ ต้องเป็น Niche Market เท่านั้น เพราะถ้าคุณเจาะกลุ่มคนทั่วไป หรือ Mass คุณจะเกิดได้ยากเนื่องจาก บิ๊กๆ ทั้งหลายเค้าเน้นเจาะกลุ่มเหล่านั้นไปหมดแล้ว
คุณต้องคิดถึงกลุ่มที่เฉพาะเจาะจงลงลึกไป เพื่อให้เห็นภาพง่ายๆ เช่น ในเว็บอย่างลาซาด้า จะมีเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมากมายหลากหลาย ถ้าคุณต้องการเจาะกลุ่ม Niche ที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า คุณก็ต้องเจาะลงลึกไปอย่าง เช่น เสื้อผ้าคนท้อง หรือ ชุดคนอวบบิ๊กไซด์ เป็นต้น
คุณควรรู้ ทุกฝีก้าว ของกลุ่ม Niche ของคุณ เริ่มต้นจากการสร้าง Brand Awareness
สร้างการรับรู้ คือ ทำให้ลูกค้าเจอคุณบ่อยๆให้ได้ซะก่อน ลูกค้าปัจจุบันมักจะมีหาข้อมูลก่อนซื้อ รวมถึงเช็คราคาตามเว็บต่างๆ
กลยุทธ์การตลาดอีคอมเมิร์ซ ยุคนี้ มักจะทำทางเดียว คือ โฆษณาจริงๆ แล้วมีงานวิจัย สรุปสถิติ ว่า ผู้บริโภคยุคนี้ ต้องเห็น Ads หรือ โฆษณา ถึง 7 ครั้ง กว่าจะมีการตัดสินใจซื้อ ดังนั้น ในทุกๆก้าว ทุกหน้าจอ ทุกแอพฯ ลูกค้าควรได้พบเห็นคุณ และเมื่อพวกเค้าค้นหาสินค้า ควรก็ต้อง ให้เค้าเจอก่อน และ ให้รายยละเอียดข้อมูลที่ครบถ้วน น่าสนใจ ดึงดูดให้เกิดการตัดสินใจซื้อ
จุดสำคัญสุดท้ายคือ จ่ายเงิน ต้องง่ายสั้นจบเร็ว แต่ก็อาจจะมี โปรโมชั่น อัพเซลล์ ครอสเซลล์ ดาวน์เซลล์ กระตุ้นให้ซื้อมากขึ้นอีก

2. รู้เทรนด์ความต้องการผู้บริโภค ให้เร็วกว่า
คุณต้องรู้ให้ได้ว่า สินค้า หรือ เรื่องราว อะไรที่เป็นเทรนด์ มาแรง เพราะะถ้าคุณไหลไปตามกระแส มันจะง่ายมากขึ้นเยอะที่จะมีลูกค้าสนใจ ซึ่งปัจจุบันนี้คุณสามารถรู้เรื่อง เทรนด์ต่างๆ ว่า สินค้า บริการ หรือ เรื่องราวต่างๆ อะไรที่กำลังมา และเป็นที่พูดถึงอยู่
โดยข้อมูลเหล่านี้ หรือ ที่เรียกว่า การใช้ Big Data ทางกูเกิลคนเก่ง ได้เตรียมพร้อมไว้ให้คุณแล้ว ตัวอย่างบทความหนึ่งในบทความยอดนิยมของเรา คือ
ล้วนแล้วแต่ใช้ข้อมูลโดยตรงจาก Google Trends ทั้งสิ้น เลยทำให้รู้ได้ว่า โอกาสในการขายสินค้ายอดนิยมมันง่ายกว่าที่คิดจริงๆ
ข้อมูล กูเกิลเทรนด์ เหล่านี้จะสามารถช่วยคุณได้ตั้งแต่การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ไปจนถึงการวิเคราะห์พฤติกรรมเชิงลูกค้า เช่น การเจาะกลุ่มลูกค้าตามสถานที่ จังหวด หรือ ภูมิภาค , ระยะหรือช่วงเวลาที่ลูกค้าให้ความสนใจในตัวสินค้า
เอาข้อมูลอินไซต์ ต่างๆ แล้วนำเอาข้อมูลพวกนี้ไปต่อยอด ทำแคมเปญจ์การตลาด ออกโปรโมชั่น หรือ ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้โดนใจลูกค้าได้เลย

3. ใช้ประโยชน์จากช่องทางออนไลน์ แบบฟรีๆ
อย่างที่ได้บอกไปข้างต้น ว่า ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม e-commerce ที่เข้ามาเจาะลูกค้าคนไทยมากมาย ดังนี้ อย่าทวนกระแสเพระาคุณเองก็สามารถนำพาสินค้าอันสุดยอดของคุณ ไปเปิดตลาดในช่องทางต่างๆนั้นได้ด้วยตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้น
ช่วงนี้ อีคอมเมิร์ซแต่ละเจ้ายินดีต้อนรับพ่อค้าแม่ค้าชาวไทยอย่างยิ่ง โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมอะไรทั้งนั้น รวมถึง บางเจ้ายังฟรีค่าจัดส่งให้ด้วย รีบเข้าไปลงสินค้าของคุณให้ครบทุกๆช่องทางได้เดี๋ยวนี้เลย ไม่ว่าจะเป็น
Lazada , Shopee , 11Street , Kaidee หรือ แม้กระทั่ง Facebook Marketplace และ Google Merchant Center
นอกจาก แพลตฟอร์มการขายของออนไลน์ ที่ได้บอกไป ก็ยังมีช่องทางอื่นๆที่อาจจะไม่ใช่ อีคอมเมิร์ซ โดยตรงแต่คุณสามารถใช้มันในการโปรโมทสินค้าหรือ ขายของได้
และอาจจะขายดีด้วย เช่น Facebook Live , Facebook Group , เฟสส่วนตัวของคุณ , Facebook เพจ , Instagram , Line , Line@ , Twitter , Youtube , Webboard และ เว็บไซต์ ของคุณเอง

4. มีช่องทางหลักสำหรับเก็บข้อมูลลูกค้า
ข้อนี้เป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มัก มองข้าม และทำให้ยอดขายไม่เป็นไปดั่งใจคิด สิ่งนี้ก็เพราะว่า การที่ลูกค้าคนหนึ่งจะตัดสินใจซื้อสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของคุณก็ว่ายากแล้ว ความยากในส่วนนี้ คุณต้องคำนวณออกมาให้เห็นได้ชัด ว่า
ด้วยงบการตลาดที่คุณลงทุนไปเท่าไหร่กว่าจะได้ลูกค้า 1 คนมาซื้อ (Cost per Customer) อีกใช้งบน้อยเท่าไหร่ กำไรก็จะมีสิทธิ์โตตามไปด้วย และ จุดพีคอยู่ที่ คุณสามารถทำให้ลูกค้าที่ซื้อสินค้าคุณแล้ว ทำ 2 เรื่องต่อไปนี้ได้ ถือว่า
คุณทำการตลาดถึงลูกค้าคนนั้นได้สำเร็จ 2 เรื่องนี้ คือ
- กลับมา ซื้อซ้ำ
- บอกต่อ ชักชวน
เมื่อคุณทำได้ตามนี้ ยอดขายจะขยับขยายได้อย่างรวดเร็ว เพราะคุณไม่ต้องทำการตลาดด้วยตัวคนเดียวอีกแล้ว ลูกค้าของคุณ จะเป็นนักขายให้กับแบรนด์ของคุณไปโดยไม่รู้ตัว
แต่การทำให้สำเร็จอย่างที่ว่าได้นั้น ต้องมาจากหลายๆปัจจัย เช่น การเอาใจใส่ลูกค้า คุณภาพของสินค้าและบริการ คุณค่าที่ลูกค้าได้รับ ถ้าทำได้ คำว่าลูกค้าจะเปลี่ยนไปเป็น สาวก อย่างที่ Apple ทำได้มาแล้ว
5. ลงมือทำ
ข้อเสียของคนไทย ด้วยกัน รวมทั้ง ผู้ขียนด้วย คือ วางแผน เยอะไป ไม่ได้ลงมือทำซะที มีคำกล่าวยอดนิยม จากนักชกผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลอย่าง ไมค์ ไทสัน ว่า ” Everyone has a plan ’till they get punched in the mouth ”
ซึ่งเป็นประโยคที่ไว้เตือนสติผู้ประกอบการได้ว่า อย่ามัวให้น้ำหนักกับแผนไปมากกว่าการลงมือทำดูซะบ้าง

หลากหลาย นักการตลาด คาดการณ์ ว่า ใน 5 ปีข้างหน้า ตลาด e-Commerce ในประเทศไทยเรานั้น จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 8% ถ้าเทียบว่า ตอนนี้ มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซไทย จากธุรกิจค้าปลีก เป็น 1% เท่ากับ 42,000 ล้านบาท
ดังนั้น แปลว่า ในอีก 5 ปีที่จะมาถึง มูลค่าตลาดของอีคอมเมิร์ซ จะสูงถึง 280,000 ล้านบาท
เนื่องจาก คนไทย จะเรียนรู้ และ รู้จัก อีคอมเมิร์ซและการขายของออนไลน์กันเข้าเส้นไปแล้ว เพราะการระดมทุนมหาศาลเพื่อกระตุ้น การช้อปปิ้งออนไลน์ของคนไทย
เมื่อมีการใช้อีคอมเมิร์ซกันอย่างแพร่หลายแล้ว ใน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่เราอยู่นี้ก็จะยิ่งคึกคักไปด้วย ปัจจัยที่ทำให้ ประเทศแถวบ้านเราน่าสนใจอย่างมาก คือ
1. ทั้งภูมิภาค มีจำนวนคน 675 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีก
2. คนที่อายุน้อยกว่า 31 ปี จะมีมากกว่าครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด
3. แนวโน้มที่เพิ่มขึ้นของการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ ตอนนี้เฉลี่ยแค่ 55.8%
4.GDP รวมทั้งภูมิภาคจะ เพิ่มขึ้น เฉลี่ย 7%
หนึ่งในเรื่อง ที่พูดถึงกันมากที่สุด ใน กลยุทธ์การตลาด E-commerce ไม่พูดไม่ได้ เหมือนจะขาดอะไรไป
Omni Channel คือ การวางกลยุทธ์ ของทุกๆ ช่องทางออนไลน์ตาม Customer Journey ไว้ตั้งแต่ต้น โดยจะมีการเชื่อมโยงช่องทางต่างๆ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า มีความรู้สึกดีๆกับแบรนด์
หรือ อธิบายอีกอย่างหนึ่ง คือ ไม่ว่าไปที่ไหนๆ ก็เจอและซื้อจากตรงนั้นได้เลย ซึ่งจะต่างจากการขายสินค้าในหลากหลายช่องทางแต่ไม่มีความเชื่อมโยงกันเลย แยกกันขายแยกกันทำแคมเปญจ์
แต่ Omni Channel ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งไอเดียที่ต้องมองกันไปยาวๆว่าการเอากลยุทธ์นี้มาช่วยทำอีคอมเมิร์ซ จะช่วยได้มากน้อยแค่ไหน
ยังมี ทิปส์ เล็กๆ ที่ฝากไว้ให้คนที่คิดจะกระโดดเข้ามาทำ E-commerce
4 Tips เล็กๆ ที่อาจทำให้คุณเป็น อีคอมเมิร์ซ ใหญ่ๆ ได้
1. สร้างความมั่นใจ ให้ลูกค้า ว่า จะได้รับสินค้าของแท้ ราคาเหมาะสม ให้ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้า
2. การจัดส่งต้องพร้อม คือ ลูกค้าชอบที่จะได้สินค้าเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
3. การจ่ายเงินต้องง่าย และ มีให้เลือกหลากหลาย
4. ความมุ่งมั่นของตัวผู้ขายเอง
สรุป คุณต้องกำหนด กลยุทธ์การตลาด e-commerce ของคุณให้ชัด ว่า คุณจะขายใคร กลุ่มไหน และใช้พลัง ของช่องทางขายของออนไลน์ ช่องทางต่างๆ สื่อสารให้ดึงดูดใจลูกค้า เป็น วีดีโอคอนเทนต์ได้จะดีมาก เพิ่มโอกาสให้ลูกค้าได้เห็น ได้รู้จักสินค้าของคุณให้มากที่สุด
คุณต้องคิดเรื่องของ
คุณค่า ที่ลูกค้าจะได้รับ
มากกว่า
มูลค่า ของผลิตภัณฑ์ของคุณ
ลูกค้าจะรักแบรนด์ของคุณ
และ มันจะทำให้
ธุรกิจของคุณเจริญรุ่งเรืองได้ในยุค 4.0 นี้

ร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่อง กลยุทธ์การตลาด e-commerce ได้แค่ทักไลน์มาที่ Line ID: @brandingchamp
พอดีจะจ้างคนมาทำเว็บแบบ อีคอมเมิร์ซ ให้อยู่เลยค่ะ แต่มันแพงมาก กลัวจะไม่คุ้มจัง
ไลน์มาคุยกันก่อนได้นะครับ
I think it depends…
Fine.
อีคอมเมิร์ซ ไม่ยากหรอก ถ้าเป็นผู้ขายในนั้นนะ ไม่ใช่คนทำ
ครับ
อีคอมเมิร์ซ ปีนี้ ปังมั้ยจารย์
น่าตื่นเต้นกว่าปีที่แล้วแน่นอนครับผม
ก้อปปี้ ได้มั้ยคะ นู๋จาเอาไปส่งครูที่วิทลัย